“ให้รักพิพากษา” ช่อง 3 อัยการทั่วประเทศรับไม่ได้ บทบิดเบือนกฎหมาย

ให้รักพิพากษา
ภาพจาก มติชน

ประธานคณะกรรมการอัยการ ชี้ ละครดังช่อง 3 “ให้รักพิพากษา” ทำภาพลักษณ์อัยการเสื่อมเสีย ประชาชนเข้าใจผิด ขอสงวนสิทธิ์ดำเนินการตามกฎหมาย

วันที่ 13 สิงหาคม 2564 มติชน รายงานว่า นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เเละอดีตอัยการสูงสุด กล่าวถึงการนำเสนอละคร เรื่อง “ให้รักพิพากษา” ซึ่งเป็นละครที่ออกอากาศทางช่อง 3 ว่า มีเนื้อหาบิดเบือนการทำหน้าที่ของพนักงานอัยการ

นายพชร เผยว่า อัยการทั่วประเทศรับไม่ได้กับบทละครเรื่องดังกล่าว ซึ่งผู้แสดงเป็นหัวหน้าพนักงานอัยการของละครเรื่องนี้ ใช้วาจาไม่สำรวม ตามจีบทนายสาว เเละชวนทนายสาวมาเป็นอัยการโดยไม่ผ่านการสอบตามกฎหมายของสำนักงานอัยการสูงสุด ถือเป็นการเขียน เดินบทละคร บิดเบือนจากตัวบทบทกฎหมายการเข้าสู่วิชาชีพการเป็นพนักงานอัยการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

“มีการใช้วาจาดูแคลนทนายความ ซึ่งในความเป็นจริง พนักงานอัยการผู้ใดประพฤติเช่นนี้จะต้องถูกลงโทษทางวินัย ไม่รักษาเกียรติศักดิ์ของการเป็นพนักงานอัยการ หรือแม้กระทั่งการถ่ายทำบทบาทการว่าคดีในศาลยุติธรรม ความเป็นจริงศาลผู้พิจารณาคดีโดยปกติ ผู้พิพากษาจะนั่งพิจารณาเป็นองค์คณะ 3 ท่าน”

นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า การอ้างอิงการสืบพยานในศาลจะต้องทำตามกระบวนพิจารณาเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การอ้างอิงพยานหลักฐานต้องเป็นไปตามวิธีพิจารณาความอาญา ตามบัญชีพยานที่คู่ความยื่นอ้างไว้ต่อศาล ไม่ใช่จะไปเรียกขอให้ศาลส่งเอกสารพยานได้ตามใจชอบของคู่ความ

“ละครเรื่องนี้ เป็นการเดินบทละครการว่าความในกระบวนการยุติธรรม ต้องทำให้ถูกต้องตามกระบวนการที่มีการประกอบวิชาชีพตามกฎหมายที่ปฎิบัติตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ ไม่ใช่จะสามารถเดินเรื่องตามความคิดของผู้เขียนบทละคร”

นายพชร กล่าวต่อว่า หากยังเดินเรื่องบทละครตามสภาพการแสดงนี้ต่อไป จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด เกิดภาพลักษณ์เสียหายต่อพนักงานอัยการทั่วประเทศ และจะทำให้ประชาชน เข้าใจบทบาทหน้าที่การรักษากฎหมายของพนักงานอัยการที่ผิดและเสื่อมเสียแก่พนักงานอัยการในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

“ตนในฐานะประธาน ก.อ.และพนักงานอัยการทั่วประเทศไม่อาจที่จะยอมรับบทละครเรื่องนี้ได้ต่อไป และขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 3, ผู้ผลิต, ผู้เขียนบทละครเรื่องนี้ และ ผู้แสดงบทละครเรื่องนี้ที่แสดงในบทบาทการเป็นพนักงานอัยการที่ผิด ๆ ตามกฎหมายต่อไป”