รู้จักโรคไอกรน โรคติดต่อผ่าน ไอ-จาม-หายใจ หลังระบาดต้องปิดเรียน

โรคไอกรน
ภาพจาก PIXABAY

รู้จักโรคไอกรน เชื้อแพร่ผ่านไอ-จาม-หายใจ ติดต่อได้ง่าย หลังระบาดจนต้องปิดเรียน

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ได้โพสต์ข้อความว่า ” [ ประกาศโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน เรื่อง มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไอกรน ]

ประกาศโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน เรื่อง มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไอกรน โดยมีเนื้อหาข้อความในประกาศว่า ประกาศโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ประกาศปิด 15 วันให้นักเรียนเรียนออนไลน์ และให้บุคลากรปฏิบัติงานที่พักอาศัยของตนเอง (Work From Home) ระหว่างวันพุธที่ 13-วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2567 หลังพบมีนักเรียนป่วยโรคไอกรนมากกว่า 2 คน หวั่นแพร่ระบาดเพิ่มเติม

ADVERTISMENT

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน

โรคไอกรนคืออะไร

โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอ ที่มีลักษณะพิเศษคือ ไอซ้อน ๆ ติด ๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น จนเด็กหายใจไม่ทัน จึงหยุดไอ และมีอาการหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเสียง วู้ป (Whooping Cough) สลับกันไปกับการไอเป็นชุด ๆ จึงมีชื่อเรียกว่า “โรคไอกรน” บางครั้งอาการอาจจะเรื้อรังนานเป็นเวลา 2-3 เดือน

สาเหตุของโรคไอกรน

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis (B. pertussis) เป็นเชื้อที่เพาะขึ้นใน Bordet Gengau Media ซึ่งเป็นเชื้อที่เพาะขึ้นได้ยาก จะพบเชื้อได้ในลำคอ ในส่วน Nasopharynx ของผู้ป่วยในระยะ 1-2 อาทิตย์แรก ก่อนมีอาการ ไอเป็นแบบParoxysmal

ADVERTISMENT

โรคไอกรน เกิดขึ้นกับใครได้บ้าง

ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จามรดกันโดยตรง ผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะติดเชื้อและเกิดโรคเกือบทุกราย โรคนี้พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัว ซึ่งมีการติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ (Carrier) หรือมีอาการไม่มาก โรคไอกรนเป็นได้กับทารกตั้งแต่เดือนแรก

ทั้งนี้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากแม่ผ่านมายังลูกไม่ได้หรือได้น้อยมาก ในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมากและมีอัตราตายสูง ส่วนใหญ่ของผู้ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และเป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยทั่วไปแล้ว โรคนี้เป็นได้ทุกอายุ ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ในวัยหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่อาจไม่มีอาการ หรือไม่มีอาการแบบไอกรน ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน

ADVERTISMENT

ในประเทศไทยอุบัติการณ์ของโรคไอกรนลดลงมาก ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มระดับความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก อย่างไรก็ดี ยังพบโรคนี้ได้ประปรายในชนบท และพบในเด็กอายุเกิน 5 ปีมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน พบการระบาดเป็นครั้งคราวในเด็กนักเรียนชั้นประถม

ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-20 วัน ที่พบบ่อย 7-10 วัน ถ้าสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติดโรค

หมอยงไขข้อข้องใจโรคไอกรน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

ข่าวที่มีการพบโรคไอกรนในวัยรุ่น นักเรียน และมีการปิดโรงเรียน จำเป็นหรือไม่ วันนี้จะขอให้ความรู้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

1.โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella Pertussis เป็นโรคตั้งแต่โบราณ เรามีวัคซีนในการป้องกันและใช้ในประเทศไทยมาร่วม 50 ปี ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจมีอาการไอเรื้อรัง

โรคนี้จะเป็นอันตรายในเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 3 เดือนอาจทำให้เสียชีวิตได้ และอาจจะมีปัญหาอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้สูงอายุที่มีร่างกายอ่อนแอ ในเด็กโต และวัยรุ่น จนถึงผู้ใหญ่จะไม่เป็นปัญหามาก เหมือนโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่งที่มียาปฏิชีวนะรักษา

2.เราใช้วัคซีนในการป้องกันโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ให้ตั้งแต่ 2 เดือนมาเกือบ 50 ปี และให้ตามกำหนดที่ 2 เดือน 4 เดือน แล้ว 6 เดือน กระตุ้นที่ขวบครึ่ง,  4 ขวบ รวมแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง และแนะนำให้มีการกระตุ้นอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะผู้มีสตางค์ ที่อายุ 10-12 ปี ด้วยใช้วัคซีนรวม โรคคอตีบ ไอกรน และ บาดทะยัก สำหรับผู้ใหญ่จะมีราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะไอกรน

สำหรับผู้ใหญ่จะเป็นชนิดที่เรียกว่า ไร้เซลล์ มีอาการข้างเคียงน้อย เราให้ความสำคัญกับคอตีบกับบาดทะยักมากกว่า ส่วนไอกรนในผู้ใหญ่จะมีราคาแพง จึงฉีดด้วยความสมัครใจ เพราะโรคในผู้ใหญ่ไม่ร้ายแรง ยกเว้นผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีและมีร่างกายอ่อนแอเพราะโรคประจำตัว

3.วัคซีนที่ฉีดในระยะหลังนี้มี 2 ชนิด ชนิดที่ทำมาจากเซลล์ทั้งตัว และชนิดไร้เซลล์ ชนิดไร้เซลล์มีราคาแพงกว่า และอาการข้างเคียงโดยเฉพาะการเป็นไข้หลังฉีดน้อยกว่า ยาชนิดนี้จึงไม่ได้อยู่ในข้อบังคับของกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.ที่จะให้ฟรี จึงฉีดกันเฉพาะในหมู่ผู้ที่สามารถจ่ายได้

4.ประสิทธิภาพของวัคซีนโดยรวมไม่แตกต่างกันทั้ง 2 ชนิด แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด วัคซีนที่ได้ฟรีที่ทำให้มีไข้ได้ นอกจากป้องกันโรคได้แล้ว ยังสามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อไอกรนมาที่หลอดลมทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี

ส่วนวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีไข้ต่ำ จะไม่สามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อแบคทีเรีย Colonization ได้ แบคทีเรียยังสามารถมาอยู่ที่คอและเพิ่มจำนวน แพร่กระจายได้ แต่ไม่ก่อโรคหรือมีการติดโรคก็มีอาการน้อยมาก ในเด็กถ้าเป็นลูกชาวบ้าน ส่วนใหญ่จะได้แบบของฟรี ส่วนเด็กที่พ่อแม่ให้ความสนใจและกลัวความเสี่ยงที่มีไข้ก็จะฉีดชนิดไร้เซลล์ โดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนที่มีชื่อทั้งหลายโอกาสที่จะพบเชื้อที่คอจึงมีมากกว่า

5.เมื่อศึกษาภูมิต้านทานต่อไอกรนที่ศูนย์ของเราทำ จะพบว่าภูมิต้านทานต่อไอกรนสูงมากใน 10 ปีแรกเมื่อหลังอายุ 10 ปีไปแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ได้ฉีดกระตุ้น ภูมิต้านทานจะลดลง โดยเฉพาะในวัยรุ่นตรวจพบภูมิต้านทานได้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้น แต่ในอดีตก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะโรคไม่รุนแรง

6.การตรวจหาเชื้อไอกรน ในอดีตทำได้ยากมาก เพราะต้องใช้วิธีการเพาะเชื้อ และเชื้อนี้ขึ้นได้ยาก และใช้เวลาในการตรวจมาก แต่ปัจจุบันนี้การตรวจโรคทางเดินหายใจทำได้ง่ายมาก ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง และสามารถทำได้ถึง  23 Pathogens รวมไอกรนด้วย แต่ราคาก็แพงมาก ทำเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ซึ่งมีราคาค่าตรวจประมาณ 5,000-6,000 บาท ในนี้จะรวมเชื้อไอกรนอยู่ด้วย

ดังนั้น เด็กที่พ่อแม่มีฐานะเท่านั้น เมื่อไม่สบายเล็กน้อยก็อยากจะรู้ว่าเป็นเชื้ออะไร ก็ยอมที่จะทำการตรวจ และจากการตรวจจำนวนมากจะได้เชื้อหลายชนิดพร้อมกัน ในการแปลผลบางครั้งยากมากว่าเป็นตัวไหนก่อโรค และการตรวจพบไอกรนด้วยวิธีนี้จึงง่ายมาก และเมื่อพบเชื้อแล้วก็จะตื่นเต้น ทั้ง ๆ ที่อาการน้อยมาก หรือการพบเชื้อนี้อาจจะพบเชื้อที่เกาะอยู่ Colonization โดยไม่ได้ก่อโรค หรือเป็นการพบโดยบังเอิญ เชื้อก่อโรคอาจจะเป็นตัวอื่นก็ได้ และอาการของเด็กก็ไม่ได้มากมาย โดยเฉพาะในเด็กโต ก็จะเกิดการตื่นตระหนก

ดังนั้น ถ้ามีการตรวจกันมากก็มีค่าใช้จ่ายมาก ก็จะเจอมาก โรงเรียนที่ลูกไม่มีสตางค์ โรงเรียนวัด โรงเรียนชนบท ก็จะไม่มีโรคไอกรนระบาดแน่นอน เพราะไม่ได้ตรวจ

7.อย่างที่กล่าวมาแล้ว ครอบครัวที่สามารถจะใช้จ่ายได้ก็จะฉีดวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีราคาแพงกว่า เพราะกลัวอาการแทรกซ้อนเรื่องไข้ ดังนั้น โอกาสที่เชื้อไอกรนจะตรวจพบได้ก็จะมีมากกว่า แต่การก่อโรคจะไม่รุนแรงเลย โดยเฉพาะในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ และในอดีตที่ผ่านมาก็เชื่อว่ามีเชื้ออยู่ตลอด

เพราะวัคซีนฉีดครั้งสุดท้ายที่อายุ 6 ขวบ เราเพิ่งเอาวัคซีนไอกรนมาฉีดในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ในระยะ 10 กว่าปีที่แล้ว และฉีดอยู่ในหมู่ที่จะเสียเงินเองได้เท่านั้น

8.การพบเชื้อไอกรนในปัจจุบันในเด็กโตและผู้ใหญ่จึงเป็นการพบโดยมีเทคโนโลยี PCR ที่ทำได้ง่ายและรู้ผลเร็ว แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตรวจในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ

9.เมื่อมีการตรวจพบและตรวจมากขึ้น ก็จะพบว่ามีการระบาด เพราะเป็นมากกว่า 2 คน และมักจะอยู่ในโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถตรวจเชื้อนี้ได้เท่านั้น ด้วยราคาที่แพง โรงเรียนทั่วไปจะไม่ระบาดแน่นอน เพราะไม่ได้ตรวจก็เลยไม่มีปัญหา

10.เมื่อพบการระบาดเกิดขึ้น มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปิดโรงเรียน ด้วยประการที่ 1 โรคนี้มีความรุนแรงต่ำในเด็กโต อาจจะน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่เสียอีก หรือน้อยกว่าโควิด-19 ส่วนใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัดทั่วไป และโรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีน การปิดโรงเรียนไปแล้ว เมื่อเปิดมาก็จะพบเหตุการณ์แบบนี้อีก เราจะปิดต่อไปไหวหรือ

11.ทางออกที่ดีที่สุดคือ เมื่อพบหรือตรวจก็ทำการรักษาไปด้วยยาปฏิชีวนะ และถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถจะใช้จ่ายค่าวัคซีนได้ ก็ควรจะให้วัคซีน จะให้วัคซีนชนิดไอกรนตัวเดียว หรือให้พร้อมกันทั้งคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโตก็ได้ โดยตรวจเช็กว่าเด็กที่ฉีดวัคซีนเมื่อ 10-12 ปีที่มีไอกรนอยู่แล้ว อาจจะไปฉีดอีกครั้งหนึ่งทุก 10 ปี

เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้นคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดผู้ใหญ่ตอนอายุ 10-12 ปี และไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ก็ควรจะมีการกระตุ้นวัคซีนนี้ทุกคน

12.เมื่อเด็กได้รับวัคซีนครบแล้ว ถือเป็นเข็มกระตุ้น ภูมิต้านทานจะขึ้นได้ดีหลัง 7 วัน โรคก็จะสงบ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดโรงเรียน เพราะการเรียนของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การศึกษาก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กไทย การเรียนในโรงเรียนดีกว่าเรียนออนไลน์แน่นอน และการให้วัคซีนเป็นการป้องกันระยะยาวอย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไป และโดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่เราก็ไม่ค่อยได้ตรวจกัน ทั้งที่เชื่อว่าถ้าตรวจมากก็เจออีก

13.การปิดโรงเรียน 2 สัปดาห์ ไม่เกิดประโยชน์เลย เพราะเปิดมาก็ต้องเจอกันอีก เชื้อไอกรนมีระยะฟักตัว 7-10 วัน ถ้าเป็นโรครุนแรงถึงกับชีวิต การกักตัว ไม่ให้มีการระบาด เราจะใช้เวลา 2 เท่าของระยะฟักตัว ดังนั้น ก็จะเป็น 20 วัน ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับโรคไอกรนในเด็กโตและผู้ใหญ่

14.การตื่นตระหนก และเป็นอะไรนิดหน่อยก็ตรวจหาเชื้อ 23 โรคเลย ไม่เป็นประโยชน์เลย และเมื่อตรวจมาแล้วบางครั้งพบเชื้อ 3 4 5 ชนิด ไม่รู้เลยว่าชนิดไหนก่อโรค และก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษามากมาย นอกจากในผู้ที่เป็นรุนแรง และการตรวจนั้นมาประกอบการรักษา โดยเฉพาะโรคที่มียาต้านไวรัสจะเป็นประโยชน์กว่า เช่นตรวจเฉพาะไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 เพราะ 2 โรคนี้มียาต้านไวรัส

15.ข้อคิดที่ให้มาทั้งหมดเป็นความรู้ เพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้ปกครองเพื่อลดการตื่นตระหนก โดยเฉพาะทุกคนเชื่อว่าห่วงลูกหลานของตน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เรื่องใหญ่โตเลย อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อกระจายออกไปมาก ๆ ตรวจมาก ๆ เด็กก็จะขาดเรียนมาก ๆ โดยใช่เหตุ ควรพิจารณาตามสถานการณ์และข้ออ้างอิงทางวิชาการ

ข้อมูล : กรมควบคุมโรค