ท่องเที่ยวผนึกแอร์ไลน์ฟื้นชาร์เตอร์ไฟลต์ ดึงจีน-รัสเซีย-เกาหลีดันรายได้ 3 ล้านล้าน

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล
สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เปิดแผนยุทธศาสตร์ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี’67 เป้า 35 ล้านคน รายได้ 3 ล้านล้านบาท ดันต่อมาตรการวีซ่าฟรีปลดล็อกอุปสรรคการเดินทางเข้าประเทศ ผนึกสายการบินอัดโปรโมชั่นฟื้นเที่ยวบินชาร์เตอร์ไฟลต์ จีน-รัสเซีย-เกาหลี ชี้ตลาดที่มีไฟลต์บินตรงไม่พอกระตุ้นดีมานด์การเดินทางทุกภูมิภาค ล่าสุดจัดพอร์ตตลาดทั่วโลกเป็น 3 กลุ่ม “ตลาดเกินล้าน-ตลาดแนวโน้มถึงล้าน-ตลาดดาวรุ่ง” หวังโฟกัส-แก้โจทย์เชิงลึกรายตลาด

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีเป้าหมายพลิกโฉมการท่องเที่ยวของไทย ด้วยการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท (เป้าหมายรัฐบาล 3.5 ล้านล้านบาท) และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 35 ล้านคน โดยมีนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ (Short-Haul Markets) เช่น ตลาดเอเชีย อาเซียน ในสัดส่วน 70% สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วน 60% และมีนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกล (Long-Haul Markets) เช่น ยุโรป อเมริกา ฯลฯ ในสัดส่วน 30% สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วน 40%

ดันต่อมาตรการ “วีซ่าฟรี”

ทั้งนี้ กระทรวงเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะยังคงเดินหน้านโยบายอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้ง่ายขึ้น (Ease of Travelling) โดยเฉพาะมาตรการวีซ่าฟรีที่รัฐบาลยกเว้นวีซ่าฟรีเป็นการชั่วคราว (VISA Exemption) ไปแล้ว 4 ประเทศ/เขตปกครอง ได้แก่ จีน คาซัคสถาน ตั้งแต่ 25 กันยายน 2566-29 กุมภาพันธ์ 2567 และนักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน ตั้งแต่ 10 พฤศจิกายน 2566-10 พฤษภาคม 2567

รวมถึงมาตรการขยายวันพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 เป็น 90 วัน เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 30 เมษายน 2567 เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปและมีจำนวนวันพักที่เพิ่มขึ้นด้วย

“ส่วนกระแสข่าวที่รัฐบาลจีนและไทยจะเซ็นเอ็มโอยู ยกเว้นวีซ่า หรือให้วีซ่าฟรีเป็นการถาวรระหว่างกัน ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 นี้เป็นต้นไป ขณะนี้รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับทางการจีน คาดว่าน่าจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันเร็ว ๆ นี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดจีนให้ถึงเป้าหมาย 8 ล้านคนในปีนี้” นางสาวสุดาวรรณกล่าว และว่า

สำหรับตลาดอื่นที่ได้วีซ่าฟรีชั่วคราว คือคาซัคสถาน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และอินเดีย ไต้หวัน ที่จะครบกำหนดวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาต่อมาตรการดังกล่าวออกไปด้วยเช่นกัน

ผนึกแอร์ไลน์ฟื้นชาร์เตอร์ไฟลต์

แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงการท่องเที่ยวฯ รายหนึ่งกล่าวเสริมว่า แผนยุทธศาสตร์หลักในการกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้มี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวเข้าประเทศตามนโยบาย Ease of Travelling ซึ่งเป็นเรื่องของมาตรการวีซ่าฟรี ซึ่งปีนี้กระทรวงยังเดินหน้าผลักดันให้มีประเทศที่ยกเว้นวีซ่าเพิ่มขึ้น รวมถึงขยายเวลามาตรการวีซ่าฟรีสำหรับคาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน ออกไปอีก

และ 2.การส่งเสริมการตลาด (Promotion & Sale Strategy) โดยกระทรวงมีแผนทำโปรโมชั่นร่วม (Joint Promotion) กับสายการบิน เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนที่นั่งสายการบิน โดยเฉพาะเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) เพื่อขนนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีดีมานด์ แต่สายการบินยังไม่มีเที่ยวบินบินตรง หรือมีเที่ยวบินบินตรงไม่สอดรับกับดีมานด์การเดินทางในแต่ละพื้นที่เข้าประเทศไทยจากทุกภูมิภาค เช่น จากเมืองรองของสาธารณรัฐประชาชานจีน รัสเซีย เกาหลี เป็นต้น โดยกระทรวงมีแผนจะดำเนินการให้ทันกับการวางแผนการตลาดในช่วงฤดูหนาว (Winter) ช่วงประมาณพฤศจิกายน 2567-มีนาคม 2568

“ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมาเราติดขัดเรื่องงบประมาณ ไม่สามารถทำเรื่องของโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินได้ ทำให้เป้าหมายนักท่องเที่ยวบางตลาดไม่เป็นไปตามแผน เช่น จีน ตั้งเป้าไว้ 5 ล้านคน แต่ทำได้เพียง 3.52 ล้านคน เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าถ้ามีงบประมาณทำโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมาย 5 ล้านคนได้” แหล่งข่าวกล่าว และว่า

เช่นเดียวกับตลาดรัสเซียที่พบว่าปัจจุบันมีดีมานด์จำนวนมาก แต่สายการบินยังกลับมาให้บริการได้ไม่เต็มที่ หรือในบางเมืองก็ยังไม่มีบริการ ทำให้ที่นั่งสายการบินที่ให้บริการอยู่ไม่สอดรับกับความต้องการ เป็นต้น

โฟกัส-แก้โจทย์รายตลาด

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 28.04 ล้านคน เกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 28 ล้านคน สร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท และตลาดเที่ยวในประเทศอีกประมาณ 8 แสนล้านบาท ทำให้มีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวจำนวน 2 ล้านล้านบาท (ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.38 ล้านล้านบาท) โดยมีการใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 46,000 บาทต่อคนต่อทริป มีวันพำนักเฉลี่ยประมาณ 9 วันต่อทริป

ดังนั้น เพื่อให้สามารถวางแผนยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนได้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ล่าสุดกระทรวงได้แบ่งตลาดออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่มตลาดที่มีนักท่องเที่ยวเกิน 1 ล้านคน อาทิ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย เกาหลีใต้ 2.กลุ่มตลาดที่มีแนวโน้มถึง 1 ล้านคน อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน อังกฤษ เยอรมนี เป็นต้น

และ 3.ตลาดดาวรุ่ง เป็นตลาดที่มีขนาดไม่ใหญ่ แต่การใช้จ่ายต่อคนต่อทริปสูง และมีอัตราการเติบโตสูง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย คาซัคสถาน อุสเบกิสถาน และประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง

“การจัดแบ่งกลุ่มตลาดดังกล่าวจะทำให้สามารถโฟกัสและวางแผนการตลาดรายตลาดเชิงรุกได้ดีขึ้น เนื่องจากสภาพตลาดโดยรวมในแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน ทั้งในเชิงกายภาพและพฤติกรรม” แหล่งข่าวกล่าว และว่า นอกจากนี้ เป้าหมายใหญ่อีกข้อหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2567 คือ การผลักดันให้มีการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปเพิ่มขึ้น

โดยมีเป้าหมายสำหรับตลาดหลัก ๆ ดังนี้คือ จีน 8 ล้านคน (ปี 2566 มี 3.52 ล้านคน) มาเลเซีย 5.5-5.6 ล้านคน (ปี 2566 จำนวน 4.56 ล้านคน) อินเดีย 2.5 ล้านคน (ปี 2566 จำนวน 1.62 ล้านคน) เกาหลีใต้เกิน 2 ล้านคน (ปี 2566 จำนวน 1.65 ล้านคน) รัสเซียเกิน 2 ล้านคน (ปี 2566 จำนวน 1.48 ล้านคน)

“จากการประเมินตลาดโดยรวมในขณะนี้ พบว่าส่วนใหญ่ตลาดยังมีดีมานด์ในอัตราสูง แต่มีปัญหาเรื่องเที่ยวบิน ถ้าเราผลักดันและแก้โจทย์ด้วยการเสริมชาร์เตอร์ไฟลต์ มั่นใจว่าจะทำให้เราขับเคลื่อนได้ถึงเป้าหมายได้แน่นอน” แหล่งข่าวกล่าว

เน้นตลาดคุณภาพ-เที่ยวได้ทั้งปี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ไม่เพียงเท่านี้ กระทรวงยังคงเน้นย้ำนโยบายในเรื่องของการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวจากเชิงปริมาณเข้าสู่โหมดของคุณภาพ ทั้งมิติของนักท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทยคึกคักตลอดทั้งปี หรือเที่ยวได้ทั้ง 365 วัน โดยมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่เมืองรอง เพื่อตอบโจทย์เรื่องการเพิ่มวันให้พำนักในประเทศไทย

และการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) เป็นพลังในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เป็น “Engine the New Power” และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนดีมานด์ของการท่องเที่ยว รวมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย ทั้ง Hospitality และ Safety โดยทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นว่าเมืองไทยปลอดภัยด้วย