กระแสทุนจีนทะลักในหลายประเทศ สร้างความหวั่นใจไม่น้อยต่อหลายประเทศที่เป็นเป้าหมายการลงทุนเบอร์ต้น ๆ ของจีน หนึ่งในนั้นก็คือ “เยอรมนี” ที่ล่าสุดพยายามเรียกร้องสหภาพยุโรป (EU) ออกกฎหมายควบคุมทุนจีนที่ตะลุยซื้อกิจการในยุโรป หวังให้บังคับใช้กฎหมายภายในปลายปีนี้ เพื่อปกป้องการรั่วไหลของเทคโนโลยีขั้นสูง
การเรียกร้องมาตรการหรือกฎหมายในการควบคุมนักลงทุนจีนในยุโรปเกิดขึ้นมาสักพัก แต่กระแสระอุขึ้นเรื่อย ๆ นับจากที่ นายพอล แฟง ผู้กุมบังเหียน “Midea Group” บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศเข้าซื้อกิจการ “Kuka” บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์และระบบออโตเมชั่นในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวเยอรมัน ด้วยมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์จาก บริษัทวิจัยตลาด ยูโร มอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เคยประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนว่า ตลาดในประเทศที่เคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดเริ่มส่งสัญญาณอิ่มตัว ทำให้บรรดาบริษัทสัญชาติจีนต้องปรับบทบาทและภาพลักษณ์ประเทศ ด้วยการหันมาพึ่งการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำมากขึ้น เพื่อกุมอำนาจในเวทีโลก และนี่คือคีย์สำคัญที่ทำให้นักลงทุนชาวจีนปักหมุดกระจายอยู่ทุกประเทศที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง หนี่งในนั้นคือ “ยุโรป”
รอยเตอร์ส รายงานโดยอ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของเยอรมนี “Welt am Sonntag” ระบุว่า แมทเธียส มาชนิก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงาน ของเยอรมนี กล่าวว่า ขณะนี้ได้พยายามเรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) ออกกฎหมายอย่างเร่งด่วนเพื่อควบคุมนักธุรกิจจีน หลังเกิดกระแสการหลั่งไหลเข้ามาซื้อกิจการและลงทุนโดยตรงในประเทศยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่” ซึ่งเยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายหลัก ๆ ของนักลงทุนชาวจีนมานาน
“สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนมากในกรณีการเทกโอเวอร์อย่างต่อเนื่องของจีนในเยอรมนี และประเทศยุโรปอื่น ๆ อียูเป็นหนึ่งในเป้าหมายของทั่วโลกในด้านเทคโนโลยีและโนว์ฮาว แม้ว่าการควบรวมกิจการเป็นสิ่งที่ดีทั้งในแง่ของรายได้และการตลาด แต่หลายบริษัทกลับอยู่ภายใต้สถานการณ์สุ่มเสี่ยง ทั้งการบิดเบือนทางการตลาดและเงื่อนไขทางการเงินที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้” รัฐมนตรีมาชนิกกล่าว
กฎหมายการควบคุมดังกล่าวไม่ได้มีเพียงเยอรมนีเท่านั้นที่เรียกร้อง แต่ประเทศฝรั่งเศส และอิตาลี ก็หวังที่จะให้ EU นำข้อกฎหมายดังกล่าวมาพิจารณาในการประชุมของสมาชิกในครั้งถัดไปด้วย โดยคาดหวังว่าจะมีการประกาศใช้กฎหมายนี้ภายในปลายปีนี้
ทั้งนี้ งานวิจัยจากสถาบันโคโลญเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจระบุว่า ปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนของนักธุรกิจจีนในเยอรมนีเพิ่มขึ้น จาก 11,000 ล้านยูโร ในปี 2016 ขึ้นเป็น 12,100 ล้านยูโร (ราว 15,030 ล้านสหรัฐ) และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับ 7 ปีที่ผ่านมา ที่มีเม็ดเงินลงทุนเพียง 100 ล้านยูโร ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่า เยอรมนีเป็นประเทศที่นักลงทุนจีนเข้ามาทำธุรกิจมากที่สุดในกลุ่มสมาชิก EU และเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดด้วย
ขณะที่ล่าสุด รัฐบาลเยอรมนีเริ่มออกมาตรการ “ห้ามขาย” กิจการให้กับนักธุรกิจจีนบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น รัฐบาลได้ระงับข้อตกลงการเทกโอเวอร์ของบริษัทจีนที่จะเข้าซื้อบริษัท “Cotesa” ของเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์สำคัญด้านชิ้นส่วนไฟเบอร์ให้กับแอร์บัสและโบอิ้ง และยกเลิกการอนุมัติการเข้าซื้อกิจการ “Aixtron” ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปของเยอรมนี เนื่องจากเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญด้านนวัตกรรม ซึ่งอาจเกิดปัญหาเรื่อง “ทรัพย์สินทางปัญญา” ในภายหลัง
“ฮาราร์ด ชนิทเซอร์” นักวิเคราะห์จากธนาคาร DZ ของเยอรมนี กล่าวว่า “การที่รัฐบาลเยอรมนีเริ่มระงับดีลการซื้อกิจการของบริษัทสัญชาติจีน ถือเป็นการส่งสัญญาณเพื่อกดดัน EU โดยตรง ขณะที่ยังมีอีกหลายบริษัทในเยอรมนีที่ชะลอการเจรจาธุรกิจออกไป และคาดว่าจะเร่งผลักดันกฎหมายดังกล่าว โดยหวังจะให้ทำหน้าที่คัดกรองและเพิ่มเงื่อนไขในการครอบครองกิจการของทุนจีนในยุโรป”