
ยอดขายรถไตรมาส 2 บีวายดีขายได้ 980,000 ยูนิต โต 40% จากปีก่อน แซงฮอนด้าเป็นครั้งแรก เหลือเพียงโตโยต้า รถญี่ปุ่นที่จีนยังแซงไม่ได้
วันที่ 23 สิงหาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า บีวายดี (BYD) มียอดขายรถไตรมาสสองแซงหน้าฮอนด้า (Honda) และนิสสัน (Nissan) ขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ด้วยยอดขาย 980,000 คัน โตขึ้น 40% จากปีก่อน
ก่อนหน้านี้ บีวายดีมียอดขายในไตรมาสสองปี 2023 อยู่ที่ 700,000 คัน แซงหน้านิสสันและซูซูกิ (Suzuki) เป็นอันดับ 10 ของโลก ก่อนที่จะเอาชนะฮอนด้าได้เป็นครั้งแรกในไตรมาสสองปี 2024
โดยยอดขายเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายในต่างประเทศ ซึ่งเพิ่มจากเดิมเกือบสามเท่า และมากกว่าปีก่อน 105,000 คัน สวนทางกลับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำส่วนใหญ่ เช่น โตโยต้า และโฟล์กสวาเกน (Volkswagen) ที่มียอดขายตกลง
อย่างไรก็ตาม โตโยต้า (Toyota) เป็นรถค่ายญี่ปุ่นเพียงเจ้าเดียวที่ยังมียอดขายมากกว่าบีวายดี และยังครองอันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 2.63 ล้านคัน ตามด้วยยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ของสหรัฐ (Ford, GM, Chrysler) ที่ยังคงนำอยู่ แม้ว่าบีวายดีกำลังไล่ตามฟอร์ดอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ จีลี่ (Geely) และเชอรี่ ออโต้โมบิล (Chery Automobile) ของจีนต่างก็มียอดขายในไตรมาสสองติด 20 อันดับแรกเช่นกัน
ที่สำคัญ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ราคาประหยัดของบีวายดี ยังได้รับความนิยมจากตลาดภายในประเทศอีกด้วย โดยยอดขายในเดือนมิถุนายนโตขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และตลอดครึ่งแรกของปี 2024 จีนส่งออกรถยนต์ 2.79 ล้านคัน มากกว่าญี่ปุ่นถึง 780,000 คัน
ในทางกลับกัน ค่ายรถญี่ปุ่นซึ่งมีจุดแข็งอยู่ที่รถเครื่องยนต์สันดาปกำลังถูกทิ้งห่าง ฮอนด้ามียอดขายในจีนลดลง 40% ในเดือนมิถุนายน และมีแผนลดกำลังการผลิตในจีนลง 30% ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ที่ซึ่งรถญี่ปุ่นครองตลาดกว่า 80% แต่ฮอนด้าก็ตัดสินใจลดกำลังการผลิตในไทยลงครึ่งหนึ่ง อีกทั้งซูซูกิก็ยังเตรียมยุติการผลิตในไทย
สำหรับรถญี่ปุ่น ตลาดในอเมริกาเหนือกำลังสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากรถจีนถูกเก็บภาษีศุลกากรในสหรัฐด้วยอัตราที่สูงถึง 100% อีกทั้งความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าก็ชะลอตัวลงด้วย แต่ว่ารถยนต์ไฮบริดจากโตโยต้าและฮอนด้ากำลังได้รับความนิยม ซึ่งจะมาแทนที่ช่องว่างรถจีนได้หรือไม่นั้น ยังคงต้องจับตาดูกันต่อไป