เมื่อร้านอาหารจีนเลือก “อาเซียน” เป็นบ้านหลังสอง วัตถุดิบท้องถิ่นต้องเจ็บในที่สุด

ในประเทศไทยได้เห็นการเข้ามาเปิดร้านอาหารจีนกันอย่างคึกคักในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และถ้ามองออกไปกว้างกว่านี้ จะเห็นว่าแนวโน้มในไทยก็เป็นแนวโน้มเดียวกันกับทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ร้านอาหารจีนพาเหรดเข้ามาเปิดสาขากันอย่างสนุกสนานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ไม่เพียงเท่านั้น อาเซียนยังครองสถานะเป็น “บ้านหลังที่สอง” หรือจุดหมายปลายทางแรกที่ร้านอาหารและเครื่องดื่มจีนเลือกเมื่อต้องการขยายธุรกิจออกนอกประเทศด้วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข้อมูลจากการรายงานของ “ไฉซิน” (Caixin) ซึ่งเป็นสื่อและผู้ให้บริการข้อมูลด้านการเงินในจีนว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนได้ขยายการลงทุนมายังอาเซียนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากความอิ่มตัวของตลาดในประเทศ บวกกับสภาพการแข่งขันอันดุเดือดของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กในประเทศ

ตามข้อมูลที่ไฉซินรายงานโดยอ้างอิงบริษัทหลักทรัพย์ ฮวาฟู่ ซีเคียวริตีส์ (Huafu Securities) ในปี 2023 มีการจดทะเบียนตั้งบริษัทอาหารและเครื่องดื่มในจีนมากถึง 3.19 ล้านบริษัท เพิ่มขึ้น 24.2% จากปีก่อนหน้า แม้ว่าการบริโภคภายในประเทศจีนไม่ได้คึกคักเท่าไรนัก

ขณะที่ข้อมูลจาก “เพย์อินวัน” (PayInOne) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการจัดหาคนทำงานและระบบจ่ายเงินเดือนระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2021-2023) การจ้างงานและการจ่ายเงินเดือนในต่างประเทศของบริษัทจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% ต่อปี และในปีนี้บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจีนที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศกำลังเปิดรับสมัครพนักงานอีกจำนวนมาก

ไฉซินอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ ซูโจว ซีเคียวริตีส์ (Soochow Securities) ว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2023 จำนวนสาขาร้านอาหารและเครื่องดื่มจีนในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอาเซียน มีดังนี้ ไห่ตี้เหลา (Haidilao) 115 สาขา, คูคู (Coucou) 14 สาขา, เซียปู่ เซียปู่ (Xiabu Xiabu) 5 สาขา, ไท่เออร์ (Tai Er) 18 สาขา, ลัคกิน คอฟฟี่ (Luckin Coffee) 30 สาขา, เฮย์ที (Hey Tea) มากกว่า 10 สาขา, นายูกิ (Nayuki) 1 สาขา, ชาจี (Chagee) มากกว่า 100 สาขา และ มี่เสวี่ย (Mixue) มากกว่า 4,000 สาขา

ADVERTISMENT
ไห่ตี้เหลา

นอกจากชื่อที่ว่ามาแล้วยังมี จางเลี่ยงหม่าล่าทั่ง (Zhangliang Malatang) ชาบูหม่าล่าหม้อไฟอีกแบรนด์ที่ไฉซินระบุว่าปัจจุบันมีร้านในต่างประเทศทั้งหมด 63 สาขาใน 15 ประเทศ และ ข้าวมันไก่หยาง (Yang’s Braised Chicken Rice) ที่มี 100 สาขา ใน 10 ประเทศ โดยไม่ได้ระบุว่าอยู่ในอาเซียนจำนวนกี่ร้าน แต่ก็คาดว่าน่าจะอยู่ในอาเซียนเป็นส่วนใหญ่ดังเช่นแบรนด์อื่น ๆ

หลี่ เว่ยเซิน (Li Weisen) รองผู้จัดการทั่วไปของแบรนด์ข้าวมันไก่หยางให้ข้อมูลว่า การแข่งขันระหว่างธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กในจีนนั้นรุนแรงมาก ดังนั้น บริษัทต่าง ๆ ในจีนจึงมองว่าการอัพเกรดแบรนด์ในตลาดภายในประเทศ และการขยายธุรกิจในต่างประเทศ เป็นสองทิศทางหลักที่ต้องทำคู่กันไป

ADVERTISMENT

หลิน ตัน (Lin Tan) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเพย์อินวันให้ข้อมูลอีกว่า บริษัทอาหารและเครื่องดื่มของจีนใช้หลายกลยุทธ์ในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งการเลือกตลาดเป้าหมาย การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การเปิดร้านเอง และการขายแฟรนไชส์ แต่โดยภาพรวมดูเหมือนว่าการขายแฟรนไชส์จะมีสัดส่วนมากกว่า และส่วนใหญ่เลือกขยายกิจการในอาเซียนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะขยายไปยังยุโรป อเมริกาเหนือ หรือแม้แต่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่อยู่ใกล้บ้าน เนื่องจากคำนึงถึงเรื่องต้นทุนบุคลากรที่น้อยกว่าและการจัดการที่ง่ายกว่า

ทั้งนี้ น่าสนใจว่า 7 แบรนด์แรกจาก 9 แบรนด์ในข้อมูลชุดแรกนั้น เลือกเริ่มธุรกิจในอาเซียนที่ประเทศสิงคโปร์ โดยมี “ไห่ตี้เหลา” ร้านชาบูหม้อไฟยักษ์ใหญ่จากมณฑลเสฉวน เป็นผู้บุกเบิกเข้าสู่อาเซียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2012

ตามรายงานบอกว่าหลาย ๆ แบรนด์มองสิงคโปร์เป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดตะวันตก ซึ่งพวกเขาสามารถทดสอบทั้งอุปสงค์ของผู้บริโภค และความสามารถการดำเนินงานนอกจีนแผ่นดินใหญ่ของบริษัทเองด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ลัคกิน คอฟฟี่ ที่เปิดร้านเองในสิงคโปร์มากถึง 32 สาขา แม้ว่าเพิ่งเข้าสู่สิงคโปร์เมื่อปี 2023 นี่เอง โฆษกของลัคกินบอกว่า สิงคโปร์มีตลาดกาแฟที่เติบโตเต็มที่และมีเศรษฐกิจที่พัฒนาก้าวหน้า ซึ่งลัคกินมองว่านี่เป็นมาตรฐานสำหรับการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับการขยายสาขา คือ บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจีนในต่างประเทศกำลังสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่นนั้น ๆ และนำเข้าส่วนผสมหลักจากประเทศจีน โดยนำเข้าสินค้าที่ขนส่งได้ง่าย เช่น ซุปและเครื่องปรุงรสจากประเทศจีน ขณะเดียวกันก็จัดหาวัตถุดิบที่เน่าเสียง่ายจากซัพพลายเออร์ในท้องถิ่น ซึ่งวิธีการนี้ช่วยรักษารสชาติหลักของอาหาร ในขณะเดียวกันก็รับประกันความสดของวัตถุดิบ และลดความท้าทายด้านโลจิสติกส์

นั่นหมายความว่าในระยะแรก ๆ ธุรกิจวัตถุดิบในท้องถิ่นยังได้ประโยชน์จากการเข้ามาของร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนอยู่บ้าง แต่ในอนาคต ประโยชน์ที่จะเกิดกับธุรกิจท้องถิ่นนั้นน่าจะน้อยลง เพราะบริษัทวัตถุดิบจากจีนจะตามมาด้วย

ดังที่มีการวิเคราะห์โดยนักลงทุนที่ศึกษาตลาดชานมไข่มุกรายหนึ่งว่า “การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในต่างประเทศยังมีปัญหามากมาย แต่ในอนาคตบริษัทวัตถุดิบต่าง ๆ จากจีนจะติดตามแบรนด์ไปยังต่างประเทศด้วยแน่นอน ในปัจจุบัน บริษัทวัตถุดิบขนาดใหญ่บางแห่งก็เริ่มขยายไปยังต่างประเทศแล้ว”

สำหรับคำถามที่ว่ารัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะสามารถปกป้องประโยชน์ของธุรกิจในท้องถิ่นอย่างไรได้บ้างนั้น พิจารณาแล้วก็ยังมีวิธีที่สามารถทำได้อย่างตรงไปตรงมา คือ “กำหนดมาตรฐานให้สูง” ซึ่งร้านอาหารจากจีนที่เปิดร้านในต่างประเทศเองก็ยอมรับว่า ห่วงโซ่อุปทานของตนเผชิญความท้าทายในการปฏิบัติกฎของประเทศต่าง ๆ ที่เข้าไป

…เมื่อการสร้างห่วงโซ่อุปทานของตนเองยังไม่ผ่านมาตรฐาน ก็ย่อมมีความจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นที่ผ่านมาตรฐานแล้ว