
เบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) มาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าตามราคาตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีบริษัทแรกของสหรัฐ และเป็นเพียงไม่กี่บริษัทในโลกเท่านั้นที่สามารถทำได้ เป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันความสำเร็จของบัฟเฟตต์กับการโฟกัสธุรกิจแบบดั้งเดิม
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2024 บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิง หรือบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจอื่น มีมาร์เก็ตแคป (Market Cap) หรือมูลค่าตามราคาตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยี (Non-Technology) บริษัทแรกของสหรัฐ และเป็นเพียงไม่กี่บริษัทในโลกเท่านั้นที่สามารถทำได้
นับจากต้นปี 2024 ถึงวันที่ 28 สิงหาคม ราคาหุ้นของ เบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ พุ่งขึ้นแล้ว 28% (YTD) ซึ่งสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้น 18% ของดัชนี S&P 500 ไปมาก และราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 0.8% เป็น 696,502.02 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในวันที่ 28 สิงหาคม ทำให้มาร์เก็ตแคปทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียง 2 วันก่อนที่บัฟเฟตต์ เจ้าของฉายา “นักพยากรณ์แห่งโอมาฮา” จะอายุครบ 94 ปี ในวันที่ 30 สิงหาคมนี้
เคทีย์ ไซเฟิร์ต (Cathy Seifert) นักวิเคราะห์ของ ซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ช (CFRA Research) ผู้รับผิดชอบการวิเคราะห์เบิร์กเชียร์กล่าวว่า เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและมูลค่าแฟรนไชส์ของบริษัท ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในช่วงเวลาที่เบิร์กเชียร์ถือเป็นกลุ่มบริษัท Conglomerate (บริษัทที่ทำกิจการหลากหลาย) เพียงไม่กี่แห่งที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เบิร์กเชียร์มีชื่อเสียงในด้านการมุ่งเน้นลงทุนในเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) โดยเป็นเจ้าของบริษัทเครือข่ายรถไฟขนส่งสินค้า บีเอ็นเอสเอฟ เรลเวย์ (BNSF Railway) บริษัทประกัน ไกโก อินชัวแรนซ์ (Geico Insurance) และไอศกรีม แดรี ควีน (Dairy Queen) ต่างจากบริษัทสหรัฐอีก 6 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมด ได้แก่ แอปเปิล (Apple) เอ็นวิเดีย (Nvidia) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) อัลฟาเบต (Alphabet) แอมะซอน (Amazon) และเมตา (Meta)
ในช่วงทศวรรษ 1960 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เข้าซื้อและควบคุมการดำเนินงานของเบิร์กเชียร์ ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอที่กำลังประสบปัญหา แล้วเขาก็เปลี่ยนบริษัทนี้ให้เป็นอาณาจักรธุรกิจที่ทำกิจการหลากหลายอย่าง ทั้งธุรกิจประกันภัย รถไฟ ค้าปลีก การผลิต และพลังงาน โดยมีงบดุลและเงินสดสวยงามอย่างที่ไม่มีบริษัทไหนเทียบได้
แอนดรูว คลิเกอร์แมน (Andrew Kligerman) นักวิเคราะห์เบิร์กเชียร์ของ ทีดี โคเวน (TD Cowen) กล่าวว่า ความสำเร็จของเบิร์กเชียร์ครั้งนี้เป็นการยกย่องบัฟเฟตต์และทีมผู้บริหารของเขา เนื่องจากธุรกิจแบบ “เศรษฐกิจดั้งเดิม” คือสิ่งที่สร้างเบิร์กเชียร์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเหล่านี้ซื้อขายกันด้วยมูลค่าที่ต่ำกว่ามาก เมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีที่ไม่ได้เป็นส่วนหลักของธุรกิจอันหลากหลายของเบิร์กเชียร์
“ยิ่งไปกว่านั้น เบิร์กเชียร์ยังประสบความสำเร็จได้ด้วยโครงสร้างแบบกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ (Conglomerate) ซึ่งเป็นรูปแบบที่หลายคนมองว่า ‘ล้าสมัย’ ขณะที่บริษัทต่าง ๆ หันไปเน้นโครงสร้างธุรกิจแบบเฉพาะทางมากขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา” คลิเกอร์แมนกล่าว