
บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ เปิดเผยข้อมูลว่า บริษัทผู้ผลิตเหล็กเกือบ 3 ใน 4 ของจีนขาดทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และหลายรายมีแนวโน้มจะล้มละลาย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดคลื่นการควบรวมกิจการ ที่จะทำให้ระดับการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมเหล็กจีนสูงขึ้น
วันที่ 23 กันยายน 2024 บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานตามข้อมูลจากหน่วยธุรกิจวิจัย บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) ในเครือบลูมเบิร์ก แอล.พี. (Bloomberg L.P.) ว่าวิกฤตเหล็กของจีนกำลังก่อให้เกิดคลื่นการล้มละลายของโรงถลุงเหล็กและผู้ผลิตเหล็กในจีน
มิเชลล์ เหลียง (Michelle Leung) นักวิเคราะห์อาวุโสของบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ เขียนในบทวิเคราะห์ว่า ผู้ผลิตเหล็กเกือบ 3 ใน 4 หรือเกือบ 75% ของจีนประสบภาวะขาดทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 และหลายรายมีแนวโน้มที่จะล้มละลาย
บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุชื่อ 3 บริษัท ได้แก่ ซินเจียง ปาอี้ ไอออน แอนด์ สตีล (Xinjiang Ba Yi Iron & Steel Co.), กานซู จิ่ว สตีล กรุ๊ป (Gansu Jiu Steel Group) และ อันหยาง ไอออน แอนด์ สตีล กรุ๊ป (Anyang Iron & Steel Group Co.) เป็นบริษัทที่เผชิญกับความเสี่ยงสูงสุดที่จะล้มละลาย และอาจเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการ
บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ วิเคราะห์ว่าคลื่นของการควบรวมกิจการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้ จะช่วยรัฐบาลจีนในการส่งเสริมการกระจุกตัวหรือความเข้มข้นในอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งรัฐบาลจีนต้องการให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลจีนต้องการให้บริษัทผู้ผลิตเหล็ก 5 อันดับแรกควบคุมตลาด 40% ภายในปี 2025 และให้บริษัท 10 อันดับแรกครองส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 60%
“เป้าหมายเหล่านี้น่าจะสามารถทำได้ แม้ว่าในแง่นี้จีนจะยังตามหลังเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่มากก็ตาม” เหลียงกล่าว
อุตสาหกรรมเหล็กจีนได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ยืดเยื้อมาหลายปี บวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ สองปัจจัยลบนี้กำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเหล็กขนาดใหญ่ของจีน เพราะการที่อุปสงค์ในประเทศตกต่ำผลักให้โรงงานเหล็กจีนจำเป็นต้องส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าจากหลายประเทศ ที่กล่าวหาว่าจีนส่งเหล็กไปทุ่มตลาดในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไชน่า เป่าอู่ สตีล กรุ๊ป คอร์ป. (China Baowu Steel Group Corp.) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของจีนเตือนว่า อุตสาหกรรมเหล็กกำลังเผชิญกับวิกฤตที่เลวร้ายกว่าในปี 2008 และ 2015
บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ วิเคราะห์อีกว่า ถึงแม้จะโดนมาตรการตอบโต้ และการผลิตโดยรวมก็ลดลง อีกทั้งมีคู่ค้าจำนวนมากขึ้นที่ได้เพิ่มข้อจำกัดต่อเหล็กจีน แต่การส่งออกเหล็กของจีนก็ยังไม่น่าจะลดลงจนกว่าจะถึงสิ้นปี 2026