5 ยักษ์เทค โชว์พลังยึดโลก ที่รัฐบาลสหรัฐคุมไม่อยู่

FILE PHOTO: The logos of Amazon, Apple, Facebook and Google in a combination photo from Reuters files./File Photo

29 ต.ค.ที่ผ่านมา บริษัท เทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างอเมซอนแอปเปิล เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอัลฟาเบต บริษัทแม่ของกูเกิล ประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลก

“อเมซอน” รายได้พุ่งถึง 9.61 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 37% และมีกำไรสุทธิ 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 197% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว

“เฟซบุ๊ก” มีรายได้ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% กำไร 7.89 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29%

“อัลฟาเบต” บริษัทแม่กูเกิล มีรายได้ 4.62 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14% กำไร 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 59.1%

“ทวิตเตอร์” มีรายได้ 936 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14% สำหรับ “แอปเปิล” แม้จะมียอดขายลดลง แต่รายได้ 6.47 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

Advertisment

ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ยอดขายไตรมาส 3 ของ 5 ยักษ์รวมกันถึง 2.28 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.1 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับบริษัทในตลาดหุ้น S&P 500 ที่จะมีรายได้ลดลง 2%

นักวิเคราะห์วอลล์สตรีตรายงานว่า แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้ง ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด “เควิน แลนดิส” ผู้บริหารสูงสุดด้านการลงทุนบริษัทเฟิรสต์แฮนด์ แคปิตอล แมเนจเมนต์ กล่าวว่า บริษัทเทคโนโลยียังคงสามารถขยายตัวได้อีก และไม่มีใครรู้ว่าจะเติบโตและมีอิทธิพลมากแค่ไหนในอนาคต

นอกจากนี้บริษัทเหล่านี้ยังมีรายได้มหาศาลจาก “โฆษณาดิจิทัล” “แอนดรูว์ ลิสแมน” นักวิเคราะห์จากอีมาร์เก็ตเตอร์ กล่าวว่า หลังจากตลาดอีคอมเมิร์ซขยายตัวอย่างมาก ตลาดโฆษณาดิจิทัลก็ขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งต่างจากไตรมาส 2 ที่โฆษณาแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ หดตัวลง เพราะธุรกิจต่าง ๆ ยังไม่รับรู้ถึงผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาบนอีคอมเมิร์ซ ทำให้บริษัทต่าง ๆ กล้าที่จะลงทุน

โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา “กูเกิล” มีรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น 6% หลังไตรมาสก่อนหน้าหดตัว -10% ขณะที่ “เฟซบุ๊ก” แถลงว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากโฆษณา รวมทั้ง “ทวิตเตอร์” ที่มีรายได้จากโฆษณาถึง 808 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ลดลง -23% รวมถึงอเมซอนที่รายได้อื่น ๆ โตขึ้น 51% ส่วนใหญ่มาจากการขายพื้นที่โฆษณา ซึ่งมีรายได้มากกว่าร้านค้าปลีกในเครืออย่างซูเปอร์มาร์เก็ต “โฮลฟูดส์”

Advertisment

รายได้ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังเติบโตต่อเนื่องท่ามกลางวิกฤต ขณะที่รัฐบาลสหรัฐและหน่วยกำกับดูแลกังวลเรื่องอำนาจของบริษัทเทคฯ และพยายามที่จะเข้าควบคุมการผูกขาด

โดยล่าสุดเมื่อ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา “แจ็ก ดอร์ซีย์” “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” และ “ซันดาร์ พิชัย” ซีอีโอทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และกูเกิลตามลำดับ ได้ถูก “คณะกรรมาธิการสมาชิกวุฒิสภาด้านพาณิชย์” เรียกเข้าหารือเกี่ยวกับนโยบายการกลั่นกรองเนื้อหา ตามกฎหมายอินเทอร์เน็ต “Section 230” ที่ให้อำนาจแพลตฟอร์มออนไลน์ในการปิดกั้นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยไม่ผิดในแง่ของการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ที่ฝ่ายนิติบัญญัติต้องการเรียกร้องให้มีความโปร่งใสมากขึ้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ผูกขาดตลาด มีอำนาจควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม ว่าอยากให้ประชาชนทราบถึงข้อมูลด้านไหนบ้าง

นอกจากนี้สมาชิกวุฒิสภาได้ระบุถึงการนำเสนอเนื้อหาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐว่า ยักษ์เทคฯเลือกนำเสนอแบบเลือกข้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกฝั่งรีพับลิกันที่ตั้งคำถามกับ “อัลกอริทึม” ของแพลตฟอร์มเหล่านี้ที่มักจะโจมตี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีฝั่งรีพับลิกัน แต่ทำไมไม่แสดงถึงเนื้อหาโจมตีอีกฝ่าย

จากตัวเลขผลประกอบการของบริษัทยักษ์เทคโนโลยีที่มีการเติบโตในภาวะวิกฤตของโลก ได้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลและการเติบโตที่แม้แต่รัฐบาลสหรัฐก็ยากที่จะเข้าควบคุม