18 ปรากฏการณ์ประวัติศาสตร์ เลือกตั้งสหรัฐ 2020

FILE PHOTO: U.S. President Donald Trump and Democratic presidential nominee Joe Biden participate in their first 2020 presidential campaign debate held on the campus of the Cleveland Clinic at Case Western Reserve University in Cleveland, Ohio, U.S., September 29, 2020. REUTERS/Jonathan Ernst/File Photo

แม้ว่าการนับคะแนนจะยังไม่เสร็จสิ้นในทุกรัฐ แต่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “โจ ไบเดน” ผู้นำพรรคเดโมแครต จะได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ ซึ่ง“ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้

1.การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้มีผู้ลงคะแนนเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 146 ล้านคน

2. “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต สร้างสถิติใหม่ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับคะแนนเสียง (popular vote) มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา ด้วยคะแนนมากกว่า 75 ล้านเสียง

3. “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ไม่กล่าวแถลงการณ์ความพ่ายแพ้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐจะทำมาตลอด

4. เนื่องจากทรัมป์ไม่ยอมกล่าวแถลงการณ์ความพ่ายแพ้ ซึ่งมักจะมีการแถลงการณ์นี้ก่อนที่ผู้ชนะประธานาธิบดีจะแถลงการณ์ชัยชนะ “โจ ไบเดน” กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่แถลงการณ์ชัยชนะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะแถลงการณ์พ่ายแพ้

5. “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ประกาศตนว่าชนะการเลือกตั้ง ทั้งที่การนับคะแนนยังไม่มีความชัดเจน กระทั่งโซเชียลมีเดียอย่าง เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ขึ้นคำเตือนว่า “ทางแพลตฟอร์มยังไม่สามารถรายงานผู้ชนะการเลือกตั้งได้” เพื่อเป็นการป้องกันการปล่อยข่าวเท็จ

6. “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้ท้าชิงประธานาธิบดีคนแรกที่ประกาศว่าตัวเองชนะการเลือกตั้ง แล้วแพ้การเลือกตั้ง

7. “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นประธานาธิบดีคนแรก ตั้งแต่ “จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช” เมื่อปี 1992 ที่แพ้การเลือกตั้งในการสมัคร (สมัย2) ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งจะเป็นคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐ

8. การเลือกตั้งครั้งนี้มีแค่ 3 รัฐ ที่ผลโหวตแตกต่างจากการเลือกตั้ง4ปีก่อน ได้แก่ รัฐวิสคอนซิน มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย โดยทั้ง 3 รัฐ ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนจากการเลือกทรัมป์เมื่อปี 2016 มาเลือกไบเดนในปี2020 (จอร์เจีย และแอริโซน่า อาจเป็นรัฐที่ 4 และ 5 ตามลำดับ ถ้าหากนับคะแนนครบ100% แล้วไบเดนชนะ)

9. “โจ ไบเดน” จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะนี้มีอายุ 77 ปี (อายุครบ 78 ปี วันที่ 20 พ.ย. 2020)

10. “คามาล่า แฮร์ริส” เป็นผู้หญิงและคนผิวสีคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ โดยแม่ของคามาล่า อพยพมาจากประเทศอินเดียขณะอายุ 19 ปี

11. เป็นครั้งแรกที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่รู้ผลผู้ชนะในคืนวันเลือกตั้ง นับตั้งแต่ปี 2000 โดยครั้งนั้นเป็นศึกระหว่าง “อัล กอร์” หัวหน้าพรรคเดโมแครต และ “จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช” หัวหน้าพรรครีพับลิกัน ซึ่งใช้เวลาถึง 36 วัน หลังการเลือกตั้ง จึงสามารถประกาศได้ว่า “จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช” ชนะการเลือกตั้ง

12. เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1996 ที่การดีเบตของผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐ (Presidential Debate) มีเพียง 2 ครั้ง จากเดิม 3 ครั้ง เนื่องจากทรัมป์ปฏิเสธการดีเบต หลังการดีเบตถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19

13. ไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 2 ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก คนแรกคือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี

14. หากทรัมป์แพ้ผลโหวตในรัฐ “จอร์เจีย” ไบเดนจะเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตคนแรก ที่รัฐจอร์เจียเลือกผู้นำเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีในรอบ 28 ปี

15. ไบเดนเป็นอดีตรองประธานาธิบดีคนที่ 15 ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

16. “คานเย่ เวสต์” เป็นนักร้องแรปเปอร์คนแรกที่ลงสมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐ และได้รับผลโหวตถึง 60,000 เสียงทั่วประเทศ

17. หากผลการนับคะแนน(100%) ไบเดนชนะในรัฐแอริโซน่า และจอร์เจีย จะทำให้ไบเดน จะได้อิเล็กทอรัลโหวต 306 เสียง ซึ่งจะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมากที่จะได้คะแนนเท่ากับตอนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ ฮิลลารี่ คลินตัน ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016

18. “โดนัลด์ ทรัมป์” ทรัมป์รู้ว่าตนเองแพ้การเลือกตั้งขณะตีกอล์ฟ ขณะที่ “คามาล่า แฮร์ริส” รู้ว่าชนะเลือกตั้งขณะกำลังวิ่งออกกำลังกาย