คิม จอง อึน: 10 ปีแห่งขีปนาวุธ ลอบสังหาร เศรษฐกิจตกต่ำ

10 ปี คิมจองอึนปกครองเกาหลีเหนือ
KCNA via REUTERS

หลังขึ้นปกครองเกาหลีเหนือต่อจากบิดาเมื่อ 10 ก่อน “คิม จอง อึน” ได้แสดงให้ทั้งโลกเห็นแล้วว่าเขากระหายอำนาจมากแค่ไหน

วันที่ 17 ธันวาคม 2564 อัลจาซีราห์รายงานว่า คิม จอง อึน อายุไม่ถึง 30 ปี ขณะขึ้นปกครองเกาหลีเหนือ หลังการเสียชีวิตของบิดาเมื่อเดือนธันวาคม 2554

บางคนคาดว่าเมื่อความหนักอึ้งจากการปกครองคนทั้งประเทศถูกวางไว้บนบ่าของหนุ่มร่างท้วม ที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ เขาจะเลือกเส้นทางของการปฏิรูป โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าการโดดเดี่ยว การเผชิญหน้า และการทดสอบขีปนาวุธ

แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่คิมเลือกใช้ปกครองประเทศ เพราะความจริงแล้วเขาเลือกใช้วิธีที่ตรงกันข้าม

“คิม จอง อึน มีสัญชาตญาณเรื่องอำนาจเสมอมา” โก เมียง-ฮยอน นักวิจัยจากสถาบันอาซานที่มุ่งเน้นการศึกษานโยบายของเกาหลีเหนือ ให้สัมภาษณ์อัลจาซีราห์

อันที่จริงนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของบิดา ทั้งที่เขาเป็นลูกคนสุดท้อง

Advertisment

“เขามีคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำเกาหลีเหนือคือ ความหลงใหลในอำนาจ” โกกล่าว

ภายใต้การนำของคิม เกาหลีเหนือได้เพิ่มการทดสอบอาวุธ ทำให้ตอนนี้เกาหลีเหนือได้เป็นเจ้าของอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์ และขีปนาวุธข้ามทวีป ที่สามารถโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งในปี 2560 เกาหลีเหนือก็เคยสร้างความหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศมาแล้ว

Advertisment

เขาส่งสัญญาณเพียงเล็กน้อยว่าจะผ่อนคลายจากการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารของประเทศ

“เขาเรียกโปรแกรมขีปนาวุธว่าดาบอันล้ำค่า เขาคิดว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปกครองประเทศของเขา” อันคิต แพนด้า นักวิจัยอาวุโสในโครงการนโยบายนิวเคลียร์ของกองทุนบริจาคคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ และผู้เขียนหนังสือ “คิม จอง อึน แอนด์ เดอะ บอมบ์” กล่าว

แต่ 10 ปีต่อไปจากนี้ของคิมยังคงคลุมเครือ เช่นเดียวกับแผนในอนาคตที่เขาวางไว้ให้เกาหลีเหนือ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะตกเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก และได้ชื่อว่าเป็นผู้นำของประเทศที่สันโดษมากที่สุดในโลก

“หากคุณอยากจะรู้ว่าใครบางคนเป็นคนอย่างไร คุณควรจะเริ่มจากการดูที่ครอบครัวของเขา และการเลี้ยงดูที่เขาได้รับ” ชอง ซองชาง ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาเกาหลีเหนือ สถาบันเซจองในเกาหลีใต้ กล่าว

นายพลในอนาคต

ชองกล่าวว่า อำนาจทางทหารเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของคิมตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเคยถ่ายภาพวัยเด็กขณะสวมชุดเครื่องแบบเต็มยศ พร้อมเหรียญตรา ซึ่งเขาบอกว่าได้รับในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 8 ปี ในรูปดังกล่าวยังมีภาพเจ้าหน้าที่ทำความเคารพเขาในฐานะผู้บังคับบัญชา

“นั่นคือสัญญาณที่ชัดเจนว่า คิม จอง อึน ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ในฐานะที่เขาเป็นนายพลในอนาคต” ชองกล่าว

เมื่อโตขึ้น เขาถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับพี่ชายของเขา “คิม จอง ชอล” ซึ่งขณะนั้นถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำประเทศ แม้ว่าชองจะกล่าวว่า จอง ชอล ไม่มีความทะเยอทะยานในสายตาของบิดา เขาจึงไม่เหมาะที่จะปกครองเกาหลีเหนือ

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีนั้นทำให้บางคนเชื่อว่าคิมจะปกครองเกาหลีเหนือในรูปแบบใหม่ ซึ่งมีความเป็นตะวันตกมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ชายผู้รักบาสเก็ตบอลก็จบลงด้วยการให้ “เดนนิส ร็อดแมน” นักบาสเอ็นบีเอ มาร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ที่สนามบาสฯในกรุงเปียงยาง

หลังศึกษาที่กรุงเบิร์น คิมได้ลงทะเบียนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยทหารคิม อิล ซุง กระทั่งสำเร็จการศึกษาด้านการทหาร ต่อมาในปี 2551 เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำเกาหลีเหนือ และในปี 2554 หลังจากบิดาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย เขาได้ขึ้นปกครองประเทศ ซึ่งก่อตั้งโดยปู่ของตัวเอง

เขาใช้เวลาไม่นานเพื่อสร้างการจดจำ

“ผู้คนต่างคิดว่า คิม จอง อึน ต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อทำให้ผู้คนยำเกรง แต่คุณรู้ไหม เขาใช้เวลาเพียง 2-3 ปีในการกำจัดทุกคนที่มีอิทธิพลหรือมีอำนาจมากพอที่จะเป็นคู่แข่งกับเขา” โก เมียง-ฮยอน กล่าว

หลังจากกวาดล้างและเพิ่มความมั่นคงให้ตำแหน่งตัวเอง คิมจึงได้เริ่มยั่วยุสหรัฐฯ เห็นได้ชัดจากการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เมื่อปี 2559

“นั่นคือช่วงที่เราได้เห็นสัญญาณต่าง ๆ ว่าเขาต้องการให้เกาหลีเหนือเป็นแบบใด ในระดับนานาชาติเขาต้องการทำให้เกาหลีเหนือเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค” โกกล่าว

จากคดีลอบสังหารสู่ขีปนาวุธ

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ทั่วโลกพากันรายงานข่าวการลอบสังหารพี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ ได้แก่ “คิม จอง นัม” ซึ่งเสียชีวิตจากสารทำลายประสาทรุนแรง บริเวณอาคารผู้โดยสารในสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์

การสังหาร คิม จอง นัม ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการทูตระหว่างเกาหลีเหนือกับมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีสถานทูตเกาหลีเหนือ

มีรายงานว่าสายลับเกาหลีเหนืออยู่เบื้องหลังแผนลอบสังหารนี้ โดยหลังก่อเหตุสายลับได้เดินทางออกจากมาเลเซียอย่างรวดเร็ว และทิ้งให้ผู้หญิงสองคนที่มาจากอินโดนีเซียและเวียดนาม ถูกจับกุม โดยพวกเธอถูกกล่าวหาว่าป้ายสารพิษใส่หน้าของ คิม จอง นัม และต้องขึ้นศาลเพื่อต่อสู้ในคดีฆาตกรรม

ตลอดการพิจารณาคดี พวกเธอยืนยันว่าถูกล่อลวงให้ร่วมเล่นเกม ท้ายที่สุดพวกเธอก็ได้รับการปล่อยตัว และสถานทูตเกาหลีเหนือในมาเลเซียได้ปิดตัวลงในปีนี้ ส่วนตัวสำนักงานได้รับการซ่อมแซมเพื่อเปิดเช่า

ไม่นานหลังการลอบสังหาร ซึ่งมีการกล่าวหาว่า คิม จอง อึน อยู่เบื้องหลัง ผู้นำเกาหลีเหนือก็ยึดพื้นที่ข่าวทั่วโลกอีกครั้งด้วยการคุมงานทดสอบยิงขีปนาวุธ ซึ่งมี 2 ลูกที่เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป สามารถทะยานถึงเมืองใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ ได้อย่างง่ายดาย

การพัฒนาอาวุธดังกล่าวทำให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯในขณะนั้น ขู่ว่าเกาหลีเหนือจะต้องเจอกับไฟและความเดือดดาลอย่างที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน หากยังคงเดินหน้าพัฒนาอาวุธต่อไป

แต่ในปีต่อมา สถานการณ์พลิกกลับอย่างสิ้นเชิง และทรัมป์ได้กล่าวต่อสาธารณะว่าเขาตกลงที่จะประชุมกับ คิม จอง อึน ซึ่งทำให้ความกังวลว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ มลายหายไป

คิมตอบรับการประชุมร่วมกับทรัมป์ โดยเขาได้พบกับ “มุน แจอิน” ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในขณะนั้นก่อน ตามด้วยการพบกันทรัมป์ในเวลาต่อมา

การประชุมสุดยอดเมื่อปี 2561 ที่สิงคโปร์ ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำเกาหลีเหนือ

แต่ความหวังก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครควรเลิกใช้อำนาจของตนเองก่อน ทั้งการคว่ำบาตรและอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนการประชุมสุดยอดผู้นำครั้งที่สองกับทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในปี 2562 สุดท้ายก็ล่มไป และการประชุมที่พรมแดนระหว่างสองเกาหลีก็ได้ผลเพียงเล็กน้อย เพิ่มเติมจากภาพถ่ายที่น่าจดจำ

ทรัมป์กลับไปเรียกคิมว่า “มนุษย์จรวดตัวน้อย” ด้านเกาหลีเหนือโต้กลับโดยเรียกทรัมป์ว่า “คนโง่” หลายต่อหลายครั้ง

นับแต่นั้นทางการเกาหลีเหนือได้กลับสู่วัฏจักรเดิมคือการทดสอบขีปนาวุธและการคุกคามอื่น ๆ ขณะที่สหประชาชาติเผยการพบหลักฐานการผลิตวัสดุนิวเคลียร์ที่ศูนย์นิวเคลียร์ย็องบย็อนในเกาหลีเหนือ

“พวกมันเป็นเพชรยอดมงกุฏของระบบการเมืองเกาหลีเหนือ ความจริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เกาหลีเหนือยินดีจะแลกเปลี่ยนในระยะเวลาอันสั้น” แพนด้ากล่าว

หลังจากนั้น คิมได้หายตัวไป 2-3 เดือน ในช่วงต้นปี 2563 พร้อมกับมีข่าวลือทางโซเชียลมีเดียว่าเขาเสียชีวิตแล้ว แต่ต่อมาเกาหลีเหนือแก้ข่าวนี้ด้วยการเผยแพร่ภาพคิมที่ยังสบายดี เพียงแต่น้ำหนักลดลงมาก

การเดินทัพอันเหนื่อยยาก

คิมประสบความสำเร็จในการเป็นผู้มีอำนาจเหนือบิดาของตัวเอง ซึ่งในความคิดของเขา เขาเชื่อว่าตัวเองได้ยืนหยัดต่อสู้กับจักรวรรดิอเมริกา

“แต่นั่นก็มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือกำลังย่ำแย่” โกกล่าว

คิมยอมรับถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการถูกคว่ำบาตรจากประชาคมโลก และการปิดพรมแดนซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัสโคโรนา เขาร้องไห้และขอโทษระหว่างการสวนสนาม

เขาเรียกสถานการณ์นี้ว่า “การเดินทัพอันเหนื่อยยาก” เป็นคำที่ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุทุพภิกขภัยครั้งรุนแรงเมื่อช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งมีชาวเกาหลีเหนืออดตายนับล้านคน และล่าสุดในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ เขาได้ขอให้ประชาชนรัดเข็มขัดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อันยาวนาน

“ปีหน้าจะเป็นปีที่สำคัญ เนื่องจากเราจะเผชิญกับการต่อสู้ครั้งใหญ่มาก พอ ๆ กับที่เราต้องเจอในปีนี้” คิม จอง อึน กล่าว

มีรายงานหลายฉบับระบุว่า เกาหลีเหนือกำลังเผชิญกับความอดอยากในฤดูหนาว ซึ่งแน่นอนว่าคิมไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ดูจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแลกกับอาวุธของตัวเอง