
อาณาจักรคริปโต FTX ของ แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ ที่สร้างขึ้นจากการเล่นเกม League of Legends แทบตลอดเวลา ล่มสลายลงได้อย่างไร
ในเวลาไม่ถึง 8 วัน แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ กลายสภาพจากอภิมหาเศรษฐีฉายา “ราชันแห่งคริปโต” สู่การยื่นขอล้มละลายและก้าวลงจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเผชิญกับการสอบสวนจากสำนักสอบสวนกลางของสหรัฐฯ ถึงการบริหารการเงินของบริษัทที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยบทสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวชีวิตและความสำเร็จของชายที่ชื่อ แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ กับภาพจำของชายผมหยิกให้สัมภาษณ์ผ่านวิดีโอคอลล์จากโต๊ะทำงานของเขาในหมู่เกาะบาฮามาส
คนที่เคยชมบทสัมภาษณ์ของเขา อาจเคยได้ยินเสียง “คลิก” เหมือนคลิกเมาส์ อยู่เป็นระยะ ในช่วงที่เขากำลังเล่าเรื่องราวอันน่าทึ่งถึงการก้าวเป็นมหาเศรษฐีหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียง 5 ปี เมื่อฟังดูดี ๆ แน่ชัดว่า เสียง “คลิก” นั้นมาจากฝั่งของ แบงค์แมน-ฟรายด์ แน่นอน

ที่มาของภาพ, Getty Images
“คลิก คลิก คลิก” เป็นเสียงที่ดังต่อเนื่อง และรัว ๆ ระหว่างนั้น สายตาของ แบงค์แมน-ฟรายด์ ก็ส่ายไปมาอยู่บนหน้าจอ
จากวิดีโอสัมภาษณ์ ยังไม่แน่ชัดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กับคอมพิวเตอร์ ในเวลาที่ให้สัมภาษณ์ แต่เบาะแสสู่คำตอบนั้น หาไม่ยากเมื่อพิจารณาจากทวิตข้อความของเขา
“ผมเลื่องชื่อมาก เรื่องการเล่น ลีกออฟเลเจ็นดส์ (League of Legends) ระหว่างโทรศัพท์” เขาทวิตเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2021 “ลีกออฟเลเจ็นดส์” คือเกมออนไลน์เกมหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
เล่นเกมไป บริหารงานไป
แบงค์แมน-ฟรายด์ เป็นเกมเมอร์ หรือนักเล่นเกมตัวยง โดยเขาอธิบายผ่านทวิตข้อความของเขาที่มีผู้สนับสนุนเกือบ 1 ล้านคนว่า การเล่นเกมแฟนตาซี เป็นวิธีที่เขาจะเปลี่ยนโหมดจากการบริหารบริษัท 2 แห่งที่ต้องเทรดเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
“บางคนคิดว่าผมคลายเครียดด้วยการดื่ม (เหล้า) เล่นการพนัน ไม่ผมเล่นลีก (ออฟเลเจ็นดส์)” เขาระบุ
นับแต่อาณาจักรคริปโตเคอร์เรนซี ชื่อ FTX (เอฟทีเอ็กซ์) ของเขาล่มสลายในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ข้อมูลที่เป็นเกร็ดถึงการชอบเล่นเกมขณะบริหารงานของเขา ผุดขึ้นและเป็นที่ถกเถียงในโลกออนไลน์
บล็อกโพสต์หนึ่งจากบริษัท ซีคัวญา แคปิตอล (Sequoia Capital) บริษัทด้านการลงทุนแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ระบุว่า แบงค์แมน-ฟรายด์ เล่นเกม ลีกออฟเลเจ็นดส์ อย่างจริงจังมาก ระหว่างการประชุมวิดีโอคอลล์ที่เคร่งเครียดกับทีมลงทุนของทางบริษัท
แต่การหารือกับ แบงค์แมน-ฟรายด์ ที่เล่นเกมอย่างสุดตัวนั้น ไม่ได้ทำให้ ซีคัวญา แคปิตอล ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เพราะทางบริษัทเดินหน้าลงทุนเป็นเงิน 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับบริษัท FTX ของแบงค์แมน-ฟรายด์

ที่มาของภาพ, FTX
บริษัท ซีคัวญา แคปิตอล ไม่ได้เป็นนักลงทุนเดียวที่ต้อง “น้ำตาตก” จากการสูญเงินลงทุนมหาศาล หลังบริษัท FTX ของ แบงค์แมน-ฟรายด์ มูลค่ากว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่มสลายลง
ในช่วงที่ FTX ต้องล้มละลายนั้น ทางบริษัทมีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนไว้มากกว่า 1.2 ล้านคน เพื่อใช้แพลตฟอร์มของ FTX เพื่อเทรดซื้อขายโทเคนสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี อาทิ บิตคอยน์ และสกุลอื่น ๆ อีกหลายพันสกุล
ผู้ใช้งาน FTX จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะนักเทรดรายใหญ่ จนถึงผู้คลั่งไคล้การลงทุนในเงินคริปโตแบบรายวัน ต่างสงสัยว่า พวกเขาจะได้เงินทุนที่ออมไว้อยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลของ FTX คืนหรือไม่ หลังบริษัทล้มละลาย
มันเป็นการร่วงหล่นจาก “บัลลังก์” อย่างฉุกละหุก สวนทางกลับการผงาดขึ้นของ แบงค์แมน-ฟรายด์ ที่กล้าเสี่ยง ใจปล้ำ และมีไลฟ์สไตล์สุดวัยรุ่น จนกลายเป็น “ราชันแห่งคริปโต”
เรื่องราวของ แซม แบงค์แมน-ฟรายด์
แบงค์แมน-ฟรายด์ ศึกษาจบปริญญาตรีจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ หรือเอ็มไอที ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ โดยเขาศึกษาในสาขาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์
แต่ แบงค์แมน-ฟรายด์ เปิดเผยว่า การศึกษาในเอ็มไอที ไม่ใช่ปัจจัยสู่ความสำเร็จ แต่เป็นบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้ในหอพักนักศึกษา ที่ทำให้เขาร่ำรวยถึงขนาดนี้ (ก่อนจะล้มละลาย)

ที่มาของภาพ, Getty Images
เขาให้สัมภาษณ์กับบีบีซีเรดิโอ (สถานีวิทยุของบีบีซี) เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้เข้าร่วมในการขับเคลื่อน “การเสียสละที่เปี่ยมศักยภาพ” ผ่านการเข้าร่วมในชุมชนของเหล่าบุคคลที่ “พยายามหาแนวทางที่เป็นรูปธรรม ที่จะทำให้ชีวิตของพวกเราสร้างประโยชน์เชิงบวกต่อโลกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เขากล่าว
ยกตัวอย่างเช่น แบงค์แมน-ฟรายด์ ตัดสินใจเข้าสู่วงการธนาคาร เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อนำเงินเหล่านี้คืนกลับให้สังคม
เขาเล่าว่า ได้เรียนการเทรดหุ้นจากการเข้าไปทำงานที่บริษัท เจน สตรีท ในนครนิวยอร์กอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเบื่อ แล้วหันไปลองทดลองเทรดบิตคอยน์
เขาสังเกตเห็นมูลค่าที่แตกต่างกันของบิตคอยน์ในแต่ละแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล จึงเริ่มการซื้อบิตคอยน์จากที่หนึ่งที่ราคาต่ำกว่า แล้วนำไปขายที่อื่น เพื่อผลกำไรจากส่วนต่างของมูลค่า
หลังจากทำกำไรได้ระดับหนึ่ง เขาจึงรวมกลุ่มกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ก่อตั้งธุรกิจชื่อ อะลาเมดา รีเสิร์จ ขึ้น ซึ่ง แบงค์แมน-ฟราย ยอมรับว่า หนทางธุรกิจช่วงแรกไม่ได้ง่าย เพราะใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะขัดเกลาเทคนิกการย้ายเงินเข้าและออกจากธนาคารหลายแห่ง และข้ามพรมแดน แต่หลังทำธุรกิจไปได้ 3 เดือน พวกเขาก็เจอแจ็คพอต

ที่มาของภาพ, Twitter
“พวกเราแน่วแน่มาก” เขาบอกกับรายการพอดคาสต์ชื่อ “แจกซ์ โจนส์ แอนด์ มาร์ติน วอร์เนอร์ โชว์” เมื่อปีก่อน
“เราเดินหน้าต่อไม่หยุด ถ้าใครโยนหินมาขวาง เราจะใช้แนวคิดสร้างสรรค์เพื่อก้าวข้าม ถ้าระบบเรารับมือไม่ได้ เราก็สร้างระบบใหม่เพื่อให้ผ่านไปได้”
จนเมื่อเดือน ม.ค. ปี 2018 ทีมของ แบงค์แมน-ฟรายด์ ทำเงินได้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
ครั้งหนึ่ง ผู้สื่อข่าวสายธุรกิจของซีเอ็นบีซี ถามเขาตรง ๆ ว่า เวลานั้นรู้สึกอย่างไร เขาตอบว่า “มันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว… แต่ในใจลึก ๆ ผมก็ตกใจอยู่ทุกวันนะ”
แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีหลายพันล้านอย่างเต็มตัวในปี 2021 เป็นผลจากบริษัทแห่งที่ 2 ของเขา ที่มีชื่อเสียงในโลกคริปโต คือ FTX ซึ่งต่อมากลายเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในโลก ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการที่มีการเทรดเป็นมูลค่า 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐทุกวัน เป็นรองเพียงไบแนนซ์
ช่วงต้นปี 2022 บริษัท FTX มีมูลค่ามากถึง 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทรงอิทธิพลถึงขั้น มีการตั้งชื่อสนามบาสเก็ตบอลตามชื่อบริษัท และมีผู้มีชื่อเสียงมากมายให้การยอมรับ รวมถึงนักกีฬาเอ็นเอฟแอล ทอม เบรดี
ในห้วงเวลาของความสำเร็จอันหอมหวาน แบงค์แมน-ฟรายด์ ก็คอยบอกเล่าถึงไลฟ์สไตล์ของเขาผ่านทวิตเตอร์อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการชอบนอนบนถุงผ้า (bean bag) ข้างโต๊ะทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก พร้อมโพสต์ภาพตัวเขาเอง นอนข้าง ๆ พนักงาน
อีกทวิตหนึ่ง เขาโพสต์ในช่วงเช้าตรู่ว่า “เขานอนไม่หลับ เลยเข้าไปทำงาน”
“อัศวินม้าขาวแห่งคริปโต”
ความฝันของเขาที่ต้องการมอบเงินมหาศาลให้มูลนิธิการกุศลนั้น ก็กลายเป็นจริง ตามที่เขาให้สัมภาษณ์กับบีบีซีเรดิโอเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเขาอ้างว่า เขาได้บริจาคเงินไปแล้ว “หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ”
ความเสียสละของเขายังไม่ใช่แค่กับมูลนิธิการกุศล เพราะในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงฉายา “ราชันแห่งคริปโต” แต่เขายังมีอีกชื่อเล่นว่า “อัศวินม้าขาวแห่งคริปโต” ด้วย จากความเสียสละอย่างใจปล้ำ
เพราะในช่วงที่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีระส่ำระส่ายอย่างหนักในปีนี้ หรือที่เรียกว่า “ฤดูหนาวแห่งคริปโต” แบงค์แมน-ฟรายด์ ยังยืนหยัด อัดฉีดเงินช่วยเหลือหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อให้หลายบริษัทยังเดินหน้าต่อไปได้
เขาเล่าถึงเหตุผลที่ยังต่อสู้กับซีเอ็นบีซีว่า “มันไม่เป็นผลดีในระยะยาว ถ้าเราเจ็บหนักแล้วยอมแพ้ และมันไม่เป็นธรรมกับลูกค้า”

ที่มาของภาพ, Getty Images
เขายังอ้างในการให้สัมภาษณ์เดียวกันว่า เขามีเงินกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินทุนสำรองเพื่อช่วยเหลือบริษัทคริปโตที่กำลังย่ำแย่
แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลับกลายเป็นตัว แบงค์แมน-ฟรายด์ เอง ที่ตระเวนไปยังบริษัทคริปโตอื่น ๆ เพื่อระดมเงินมาช่วยบริษัทและลูกค้าของเขา
จุดเริ่มต้นสู่จุดจบ
จุดเริ่มต้นสู่จุดจบของ FTX เริ่มจากสำนักข่าวคอยน์เดส ตีแผ่บทความด้านงบดุลของบริษัท อะลาเมดา (บริษัทแรกของแบงค์แมน-ฟรายด์) และปัจจุบัน เป็นบริษัทย่อยของ FTX ว่า งบการเงินของทางบริษัท มีสินทรัพย์ 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สินถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเนื้อในของสินทรัพย์กว่า 1 ใน 3 อยู่ในรูปของเหรียญดิจิทัล FTT คิดเป็นเงินกว่า 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข่าวนี้ทำให้นักวิเคราะห์ด้านตลาดคริปโตตั้งข้อสังเกตถึงงบดุลของ อะลาเมดา ยึดโยงอยู่กับเงินดิจิทัลที่บริษัมแม่ FTX สร้างขึ้นมา ไม่ใช่สินทรัพย์อิสระ
หายนะมาถึง เมื่อคู่แข่งหลักของ FTX อย่าง ไบแนนซ์ (Binance) ประกาศขายโทเคนคริปโตที่เชื่อมโยงกับ FTX ทั้งหมดในอีกไม่กี่วันต่อมา โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารไบแนนซ์ จางเผิง เจ้า ทวิตถึงผู้ติดตามกว่า 7.5 ล้านคนของเขาว่า ทางบริษัทจะขายเงินดิจิทัลเหล่านี้ “จากประเด็นที่เป็นข่าว”

ที่มาของภาพ, Getty Images
การเทขายเงินคริปโต FTX ของไบแนนซ์ ทำให้ลูกค้าตื่นตระหนกและถอนเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐออกจาก FTX จนราคาเหรียญ FTT ร่วงหนัก ซึ่งทาง แบงค์แมน-ฟรายด์ ได้สั่งระงับการถอนเงินออก และพยายามตระเวนระดมเงินมาช่วยเหลือบริษัทของเขาเอง
ช่วงหนึ่ง บริษัท ไบแนนซ์ ประกาศสาธารณะว่าสนใจจะซื้อบริษัท FTX ก่อนจะล่าถอยไป โดยให้เหตุผลว่า ได้รับรายงานหลายฉบับถึง “การบริหารเงินทุนลูกค้าที่ผิดพลาด รวมถึงการสอบสวนของทางการสหรัฐฯ”
ไม่กี่วันต่อมา บริษัท FTX ถูกประกาศสถานะล้มละลาย และ แบงค์แมน-ฟรายด์ ออกมาทวิตขอโทษว่า “ผมขอโทษจริง ๆ ที่เรามาถึงจุดนี้”
“ผมหวังว่าเราจะฟื้นตัวกลับมาได้ หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะนำมาซึ่งความโปร่งใส ความไว้เนื้อเชื่อใจ และธรรมาภิบาลต่อลูกค้าของเรา”
เขายังกล่าวว่า “รู้สึกตกใจที่สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นในลักษณะนี้”
และนั่นทำให้โลกแห่งคริปโตปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก มูลค่าบิตคอยน์ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี จนทำให้หลายคนสงสัยว่า ถ้า FTX ล่มสลายลงได้เช่นนี้ ทั้งที่มีผู้นำระดับ แบงค์แมน-ฟรายด์ แล้วใครจะเป็นรายต่อไป

ที่มาของภาพ, Getty Images
……
ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว