โควิด : จีนละทิ้งนโยบายปลอดโควิดอย่างเงียบ ๆ ป้องกัน สี จิ้นผิง ขายหน้า

 

workers remove medical waste from building where people quarantine at home 05/12

Reuters
พนักงานเก็บขยะทางการแพทย์จากอาคารหนึ่งในกรุงปักกิ่งที่ผู้ติดโควิดได้รับอนุญาตให้รักษาตัวที่บ้าน

ถ้าคุณอยากรู้แผนรับมือโควิดของรัฐบาลจีน จงดูที่การกระทำของรัฐบาล มากกว่าคำพูดของพวกเขา

ดูสิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงปักกิ่งเป็นตัวอย่าง

แม้ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่ลดฮวบฮาบ แต่การใช้บริการขนส่งสาธารณะตอนนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงผลการตรวจ PCR อีกต่อไป บาร์และร้านอาหารเริ่มทยอยเปิดให้บริการอีกครั้ง และในบางกรณีประชาชนที่ติดโควิดได้รับอนุญาตให้กักตัวอยู่ที่บ้าน แทนที่จะต้องเข้าศูนย์กักโรคที่ทางการจัดขึ้น

ตั้งแต่ 6 ธ.ค. ชาวกรุงปักกิ่งไม่ต้องแสดงผลตรวจโควิดเมื่อไปซื้อของตามซูเปอร์มาร์เก็ต อาคารสำนักงาน และสถานที่สาธารณะบางแห่งอีกต่อไป

หากพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองหลวงจีนแห่งนี้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลจีนตัดสินใจละทิ้งเป้าหมายโควิดเป็นศูนย์อย่างเงียบ ๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความพยายามรักษาหน้าของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้เคยประกาศจะยึดถือนโยบายนี้โดยไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ

นี่ไม่ได้หมายความว่า จะมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดของโควิดทั้งหมด เพราะชาวจีนยังคงต้องตรวจโควิด 48 ชั่วโมงก่อนจะเดินทางไปโรงพยาบาล โรงเรียน ร้านอาหาร และสถานออกกำลังกาย เป็นต้น และนี่ก็ไม่ได้หมายความว่ามาตรการควบคุมเหล่านี้จะถูกยกเลิกในอีกครึ่งปีข้างหน้า

แต่หมายความว่า รัฐบาลจีนไม่ยึดเป้าหมายโควิดเป็นศูนย์อีกต่อไป

แผนการใหม่ของทางการจีนดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่การชะลอการแพร่ระบาดของโควิด ด้วยความหวังให้ระบบสาธารณสุขในประเทศสามารถรับมือกับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น แทนที่จะเป็นการขจัดเชื้อไวรัสร้ายชนิดนี้ให้หมดสิ้นไป

แผนการนี้อาจรวมถึงการเฝ้าจับตาโควิดในขณะที่มันกำลังแพร่ระบาด เพื่อให้สามารถจัดการกับคลื่นผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตได้

บางครั้งอาจหมายถึงการปรับเปลี่ยนมาตรการบางอย่าง แต่เมืองต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีตัวเลขผู้ติดโควิดเป็นศูนย์อีกต่อไปจึงจะสามารถเปิดเมืองได้

นอกจากกรุงปักกิ่งแล้ว ในหลายเมืองทั่วประเทศก็เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว

มณฑลชานตงทางภาคตะวันออกไม่จำเป็นต้องมีการตรวจโควิดเพื่อซื้อยาแก้ไอ หรือการขับรถบนทางหลวงอีกต่อไป ขณะที่ประชาชนในมณฑลเหอหนาน ทางภาคกลางไม่จำเป็นต้องแสดงผลตรวจแบบ PCR ในการเข้าย่านที่พักอาศัยอีกแล้ว

มีการผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดลักษณะคล้ายกันในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ เช่น เซี่ยงไฮ้ อู่ฮั่น ฉงชิ่ง กว่างโจว เซินเจิ้น และเฉิงตู

ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม โรงภาพยนตร์ และสถานออกกำลังกายที่อุรุมชี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ก็กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เช่นเดียวกับระบบขนส่งมวลชนในเขตปกครองตนเองทิเบต

นี่ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญ เพราะเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อน รัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเคร่งครัด

แม้ที่ผ่านมาจะมีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่ามาตรการโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และสร้างความเดือดร้อนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แต่นายสียังประกาศยึดถือนโยบายของเขาต่อไปโดยไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา

จากนั้นไม่นาน ประชาชนที่ทนการถูกควบคุมชีวิตอย่างเข้มงวดไม่ไหวต่างพากันลุกฮือขึ้นประท้วงเป็นวงกว้าง หลังเกิดเพลิงไหม้ที่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่เมืองอุรุมชี จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน คนไม่น้อยกล่าวโทษว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นเพราะคนที่อาศัยอยู่บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้านตามมาตรการควบคุมโควิด

https://www.youtube.com/watch?v=d7xIXjdLHiU

เมืองแล้วเมืองเล่า กลุ่มผู้ประท้วงต่างเรียกร้องให้นายสีลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับขับไล่พรรคคอมมิวนิสต์จีน

กระแสต่อต้านรุนแรงต่อพรรคคอมมิวนิสต์เช่นนี้แทบไม่มีให้เห็น นับตั้งแต่เหตุการณ์ประท้วงใหญ่ของประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวจีนพากันพูดติดตลกว่าการประท้วงครั้งล่าสุดนี้ใช้ได้ผลดีเพียงใด

การอสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน เมื่อสัปดาห์ก่อน ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีน เพราะชาวจีนหลายคนมองยุคของเจียง เจ๋อหมิน ว่าเป็นห้วงเวลาที่จีนเปิดประเทศสานสัมพันธ์กับโลกภายนอกอีกครั้ง อีกทั้งเป็นยุคที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก

ภัยคุกคามอีกอย่างสำหรับรัฐบาลสี จิ้นผิงคือ ห้วงเวลาแห่งความเศร้าโศกเสียใจของคนจีนต่อการสูญเสียนายเจียง เจ๋อหมินที่อาจนำไปสู่การประท้วงที่ลุกลามรุนแรงขึ้น ดังที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน หลังจากการเสียชีวิตของนายหู เย่าปัง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ที่ได้ชื่อว่าผู้นำนักปฏิรูป ในตอนนั้นชาวจีนจำนวนมากไปชุมนุมไว้อาลัยต่อการจากไปของเขา ก่อนที่เวลาต่อมาจะขยายวงเป็นการประท้วงใหญ่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ความเป็นไปได้นี้ ทำให้รัฐบาลของนายสี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยประเมินกระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่ำเกินไป รีบปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างฉับพลัน

แต่นี่จะต้องดำเนินไปด้วยวิธีการที่จะช่วยรักษาหน้าของนายสี เจ้าของนโยบายโควิดเป็นศูนย์

beijingers on train, 05/12

EPA
ชาวปักกิ่งไม่จำเป็นต้องแสดงผลตรวจโควิดเป็นลบเพื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะอีกต่อไป

เจ้าหน้าที่จีนไม่มีวันที่จะออกมากล่าวขออภัยต่อประชาชน ที่ใช้มาตรการโควิดจำกัดเสรีภาพของประชาชนนานเกินความจำเป็น

ปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สื่อสารต่อประชาชนผ่านทางสื่อของทางการโดยระบุว่า เชื้อโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ไม่อันตรายร้ายแรงเท่าสายพันธุ์ดั้งเดิมแล้ว

ข้อความนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เห็นได้ชัดเจนของทางการจีน จากก่อนหน้านี้ที่พยายามป่าวประกาศต่อประชาชนว่า โลกกำลังเผชิญกับขุมนรกโควิด และพลเมืองจีนควรตระหนักว่าตนเองโชคดีเพียงใดที่ได้อยู่ในประเทศที่รัฐช่วยให้พวกเขาปลอดภัยจากโรคร้ายนี้

อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญความท้าทายใหญ่ 2 เรื่อง ประการแรกคือ การเพิ่มการฉีดวัคซีนต้านโควิดให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ข้อมูลจากทางการระบุว่ามีคนวัยเกิน 80 ปีเพียง 40% ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ประการที่สองคือ ทางการจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการขยายหน่วยดูแลผู้ป่วยภาวะวิกฤตในโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอ

ด้วยเหตุนี้ การมุ่งสู่เป้าหมายใหม่ของจีนต่อการรับมือโควิดจึงน่าจะดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้บางครั้งอาจต้องเดินถอยหลังบ้างก็ตาม

…..

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว