
ฮาเยอนี โซซา เคยเผชิญความลำบากในการขึ้นรถโดยสารในเมืองวีตอเรีย เมืองหลวงของรัฐเอชปีรีตูซังตู ซึ่งอยู่ห่างจากนครรีโอเดจาเนโรไปทางเหนือราว 480 กิโลเมตร
ตอนที่เธออายุ 14 ปี เธอติดอยู่ในประตูหมุนของรถโดยสารอีกครั้ง และรู้สึกได้ว่าสายตาของผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนรถกำลังจ้องมองเธอ เธอสัญญาว่า จะไม่ขึ้นขนส่งสาธารณะรูปแบบนี้อีกแล้ว
“ฉันอ้วนมาตลอดชีวิต ฉันเลยชินกับการได้ยินคำพูดหยาบคายเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของฉัน” เธอกล่าว
ประสบการณ์ของโซซาไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่นานนี้ ผู้หญิงชาวบราซิลอีกคนหนึ่งเพิ่งติดอยู่ที่ประตูหมุนบนรถโดยสารคันหนึ่งนานกว่า 4 ชั่วโมง

สุดท้าย ต้องโทรเรียกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงให้มาช่วยเหลือ มีผู้โดยสาร 2-3 คนพยายามที่จะช่วยเธอ แต่เธอเล่าว่าคนอื่น ๆ ได้โพสต์ภาพที่น่าอับอายของเธอทางโซเชียลมีเดีย
ในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย โซซาต้องเจอกับเรื่องน่าขายหน้าคล้ายกันนี้ทางโซเชียลมีเดีย หลังจากเคยถูกล้อและกลั่นแกล้งที่โรงเรียนเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักตัวมาแล้ว
“ฉันเคยเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งของการเกลียดกลัวคนอ้วน (fatphobia) นักเรียนทุกคนสร้างกลุ่มวอตส์แอปป์ขึ้น และเอารูปที่ฉันเผยแพร่ทางเครือข่ายโซเชียลของฉันไปลงในกลุ่มนั้น และเริ่มล้อฉัน”
นั่นคือช่วงเวลาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับโซซา แทนที่จะถอยเข้าไปหลบอยู่ในกระดอง เธอตัดสินใจว่าจะไม่กลัวอีกต่อไป
เธอร่วมกับ มาเรียนา โอลิเวรา เพื่อนที่เรียนจบด้านกฎหมายของเธอ ตั้งกลุ่มรณรงค์ขึ้นมาได้ใช้ชื่อว่า Gorda na lei ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกส มีความหมายว่า “คนอ้วนในกฎหมาย” โดยมีเป้าหมายในการให้คำแนะนำสิทธิทางกฎหมายแก่ผู้คนที่ถูกเลือกปฏิบัติจากน้ำหนักตัวของพวกเขา
ในแต่ละเดือน มีข้อความจากคนที่ต้องการได้รับการชดเชย หรือต้องการแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง ราว 70 ข้อความ
- โรคอ้วน : การเหยียดรูปร่างในอินเดียเพิ่ม ขณะประชากรมีน้ำหนักตัวเกินปกติราว 135 ล้านคน
- 2016 Highlights: นางแบบพลัสไซส์ชุดถุงข้าวเกรียบได้เดินพรมแดงของจริง
- “อ้วนกว่าช้าง” ไม่ใช่คำพูดเกินจริง พบคนปกติมีสัดส่วนไขมันสูงกว่าช้างเอเชีย
การยอมรับรูปร่างที่แตกต่าง
ภาพจำของบราซิลตามที่รับรู้กันคือ มีรูปร่าง และผิวสีแทน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็เหมือนกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่ประชากรมากกว่าครึ่งมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน โดยราว 1 ใน 4 ในทางการแพทย์ถือเป็นโรคอ้วน
…………..
นักเคลื่อนไหวโต้แย้งว่า สังคมควรจะยอมรับเรื่องนี้ พวกเขาบอกว่า บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าของโลกที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนที่มีรูปร่างแตกต่างหลากหลาย
จากสถิติของทางการ มีคดีที่เกี่ยวกับโรคกลัวคนอ้วนในศาลแรงงานของบราซิลมากกว่า 1,400 คดี
โอลิเวรา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน อธิบายว่า แม้โรคกลัวคนอ้วนจะไม่ใช่อาชญากรรมโดยเฉพาะ แต่ก็สามารถใช้กฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันเอาผิดได้ เช่น การหมิ่นประมาท, การทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และการคุกคามทางศีลธรรม
เธอได้พูดถึงคดี ๆ หนึ่งที่นักธุรกิจคนหนึ่งใช้เรื่องน้ำหนักตัวเป็นเงื่อนไขในการจ่ายโบนัสให้แก่พนักงานที่น้ำหนักตัวลดลง “เขาถึงกับให้เธอขึ้นเครื่องชั่งให้ดู” โอลิเวรา กล่าว

ผู้พิพากษาตัดสินให้พนักงานเป็นฝ่ายชนะ และให้ได้รับเงินชดเชยที่ 10,000 เรอัลบราซิล (ประมาณ 66,400 บาท) เป็นหนึ่งในจำนวนเงินชดเชยที่สูงที่สุดซึ่งมีการจ่ายในบราซิลเกี่ยวกับคดีเกลียดกลัวคนอ้วน แต่ก็ยังถือเป็นเงินไม่มากนักเมื่อเทียบกับการตัดสินอีกหลายคดีของกระบวนการยุติธรรมในบราซิล
หนึ่งในพื้นที่มีการแก้ไขนโยบายคือในเมืองเรซีฟี โดยสภาเมืองได้ผ่านร่างกฎหมายฉบับหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว กำหนดให้โรงเรียนต่าง ๆ ต้องมีโต๊ะที่ใหญ่ขึ้น
ซีดา เปโดรซา สมาชิกสภาหญิงของเมืองเรซีฟี เป็นผู้ขับเคลื่อนและเสนอกฎหมายนี้ เธอเล่าว่า เธอได้ยินเรื่องราวมากมายของคนที่ต้องอับอายขายหน้าเพราะตัวไม่พอดีกับโต๊ะที่โรงเรียน
กฎหมายใหม่ที่เสนอโดยนางเปโดรซา ทำให้โรงเรียนทุกแห่งในเมืองเรซีฟี ต้องมีโต๊ะที่ใหญ่ขึ้น 1 ตัวในแต่ละห้องเรียน

ซีดา เปโดรซา สมาชิกสภาเมืองช่วยผลักดันการผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้มีโต๊ะและเก้าอี้ที่ใหญ่ขึ้นสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
นางเปโดรซาไม่ยอมรับความเห็นที่ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการไม่สนับสนุนให้ชาวบราซิลที่เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักตัวมากเกินไปพยายามลดน้ำหนักของตัวเองลง
“เราไม่ปฏิเสธว่า ในบางกรณี การเป็นโรคอ้วนอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ แต่เราต้องหยุดการมองว่า ร่างกายที่อ้วนเป็นความผิดปกติทางจิตใจ และคิดว่าการมีรูปร่างอ้วนเป็นอาการป่วย”
ปัจจุบันในบราซิลไม่มีการรณรงค์ในระดับประเทศเพื่อส่งเสริมให้คนลดน้ำหนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบุคลากรด้านสาธารณสุขไม่สามารถเห็นตรงกันได้เกี่ยวกับวิธีการสื่อสารที่จะไม่เป็นการสร้างตราบาปให้แก่คนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
แพทย์ชาวบราซิลหลายคนเชื่อว่า ควรจะมีการแจ้งคนไข้ที่น้ำหนักตัวมากเกินไปอย่างตรงไปตรงมาว่า พวกเขาจำเป็นต้องลดน้ำหนัก
ลูเซีย คอร์เดรู ผู้เชี่ยวชาญที่รักษาคนไข้ที่เป็นโรคอ้วนหลายคนที่คลินิกในเมืองเรซีฟี เห็นด้วยว่า เงื่อนไขนี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพหลายอย่างได้
“เรารู้ว่า ค่า BMI ที่สูงขึ้นทำให้มีอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง” เธอกล่าว
คอร์เดรูระบุว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnoea) เป็น “ปัญหาใหญ่” เช่นเดียวกับเบาหวานและมะเร็ง
แต่คอร์เดรูยืนกรานว่า จำเป็นต้องมีวิธีการที่คำนึงถึงความรู้สึกมากกว่านี้
“โรคอ้วนคือโรค เราต้องบอกสังคมให้พยายามใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี แต่เราจำเป็นต้องระมัดระวังวิธีการส่งสาร เพื่อที่จะไม่กลายเป็นอคติ หรือการเกลียดกลัวคนอ้วน”
……
ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว