ทำความรู้จักหุ้นไอพีโอน้องใหม่ “ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี(SVT)” ธุรกิจค้าปลีกจำหน่ายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในเครือสหพัฒน์ เตรียมเข้าซื้อขายตลาดหุ้นไทย SET วันที่ 5 ต.ค.64 วันแรก
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) ปรับ 8 ครั้ง ขึ้น 450 บาท รูปพรรณบาทละ 42,150 บาท
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
ธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ “เครือสหพัฒน์”
วันที่ 4 ตุลาคม 2564 บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกจำหน่ายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และเป็นผู้นำเข้าเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติทั้งเครื่องใหม่และเครื่องมือสองเพื่อนำมาปรับปรุงสภาพและประกอบ (Refurbishment) เพื่อจำหน่ายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ พร้อมทั้งจำหน่ายเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้กับลูกค้าผู้จำหน่ายสินค้าผ่านเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งมีเครื่องให้บริการเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์หลากหลาย แบ่งประเภทธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- ธุรกิจขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
- ธุรกิจขายและให้เช่าเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ
- ธุรกิจการบริการพื้นที่บนเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพื่อโฆษณา
ทั้งนี้ SVT ถือเป็นธุรกิจในเครือสหพัฒน์ โดยก่อนการเสนอขายหุ้นไอพีโอ กลุ่มครอบครัวโชควัฒนาถือหุ้นอยู่ดังนี้ (ดูตาราง)
ขายหุ้นไอพีโอ 200 ล้านหุ้น
โดย SVT เสนอขายหุ้นไอพีโอทั้งหมด 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยแบ่งเป็นจำนวนหุ้นและสัดส่วนที่เสนอขายต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภทได้ดังนี้
1.68 ล้านหุ้น เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ คิดเป็น 34% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้
2.82 ล้านหุ้น เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน คิดเป็น 41% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้
3.ไม่เกิน 30 ล้านบาทหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท คิดเป็น 15% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้
4.20 ล้านหุ้น เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท คิดเป็น 10% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ เมื่อนับสัดส่วนที่จัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนของบริษัท
SVT กางแผนธุรกิจอนาคต
โดยวางแผนการเพิ่มจำนวนการติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มขึ้น ขยายสาขาปฏิบัติงานศูนย์กระจายสินค้าเพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้า รวมทั้ง การพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อเชื่อมต่อการจำหน่ายสินค้าและรองรับระบบการชำระเงินผ่านช่องทางต่างๆ (Payment gateway) ที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งการสร้างฐานข้อมูลการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) เพื่อนำไปวางแผนการขายและการบริหารจัดการสินค้าในเครื่องอัตโนมัติ ตลอดจนโปรแกรมส่งเสริมการขายและการขายโฆษณาผ่านเครื่องอัตโนมัติ
นอกจากนี้ SVT มีแผนที่จะเพิ่มธุรกิจใหม่คือ ธุรกิจการขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติผ่านผู้ประกอบการอิสระที่ได้รับสิทธิการค้าจากบริษัท (Franchise) และการให้เช่าเครื่อง เพื่อขยายการกระจายการให้บริการจำหน่ายสินค้าผ่านเครื่องอัตโนมัติให้กว้างขวางขึ้น จากแผนธุรกิจของบริษัทดังกล่าว SVT คาดว่าธุรกิจของบริษัทจะมีการเติบโตทั้งด้านรายได้และความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น โดยได้นำเสนอแผนธุรกิจซึ่งเป็นโครงการในอนาคตช่วงเวลา 3 ปีและงบประมาณการลงทุนต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เรียบร้อยแล้ว
แผนการระดมทุน
1.เพื่อใช้ในการจัดหาเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพื่อขยายการติดตั้งให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ 280 ล้านบาทเป็นการลงทุนในธุรกิจหลักของบริษัท โดยจะซื้อเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติมาเพื่อขยายการติดตั้งการให้บริการเป็น 20,000 เครื่อง ในปี 2566 เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง และขยายการติดตั้งเครื่องอัตโนมัติด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบ Franchise รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
2.พัฒนาระบบและจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ แบบ Smart 210 ล้านบาท
- การติดตั้งจอสัมผัสบนเครื่องอัตโนมัติ
- การติดตั้งระบบ Vending Machine Control (VMC)
- การติดตั้งระบบ Vending Machine management (VMM)
พัฒนาโปรแกรมเพื่อให้รองรับกับความต้องการของลูกค้า และทิศทางขององค์กรสำหรับเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติแบบออนไลน์
กางกำไร-รายได้ SVT ก่อนลงทุน
นโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 40% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหักเงินสำรองตามกฎหมาย และข้อบังคับของบริษัท ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับแผนการลงทุน สภาพคล่องกระแสเงินสด ผลการดำเนินงาน และความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคต