สืบตำนานลงนะหน้าทอง จากรามเกียรติ์สู่พิธีกรรมเมตตามหานิยม

นะหน้าทองคืออะไร มีที่มาอย่างไร
ภาพจาก ข่าวสด

เปิดตำนานลงนะหน้าทอง เริ่มต้นที่อิทธิพลรามเกียรติ์ ถึงของขลังคนโขน สู่พิธีกรรมเรียกเมตตามหานิยม

วันที่ 18 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสการลงนะหน้าทองแบบเต็มหน้า กำลังถูกพูดถึงบนโซเชียล หลังเจ้าอาวาสวัดศาลารี หมู่ 4 ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี ลงนะหน้าทองทั่วหน้าให้ลูกศิษย์ บางรายประสบความสำเร็จด้านการงานภายในเวลา 2 ชั่วโมง หลังลงนะหน้าทองเสร็จ

ล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย มีหนังสือร้องเรียนไปยังมหาเถรสมาคม ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สั่งการเอาผิดพระที่ทำพิธีดังกล่าว และให้ตรากฎมหาเถรสมาคมขึ้น เพื่อกำกับดูแลเรื่องดังกล่าวด้วย

จากความร้อนแรงของกระแสลงนะหน้าทอง “ประชาชาติธุรกิจ” พาสืบค้นตำนานการลงนะหน้าทอง ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากตำนาน ก่อนจะกลายเป็นพิธีกรรมเสริมเมตตามหานิยม

จุดเริ่มต้นจากวรรณกรรมดัง “รามเกียรติ์”

ข้อมูลจากหลายแหล่งอ้างตรงกันว่า การลงนะหน้าทอง คาดว่ามีจุดเริ่มต้นจากตัวละคร “พระลักษมณ์” (พระอนุชาของพระราม) ในวรรณกรรมดัง “รามเกียรติ์”

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาให้ความหมายพระนามของพระลักษมณ์ว่า มีที่มาจากภาษาสันสกฤตว่า ลกฺษมณ (อ่านว่า ลัก-สะ–มะ-นะ) แปลว่าผู้มีเครื่องหมายอันเป็นมงคล หรือผู้ที่มีลักษณะดี โดยรูปโฉมของพระลักษมณ์มีพระพักตร์และกายเป็นสีทองคำ ใส่มงกุฎยอดแหลม จึงมีมนต์เสน่ห์เมตตามหานิยม และต่อมาจึงเกิดเป็นวิชาพระลักษมณ์หน้าทองในที่สุด

สำหรับวิชานี้ มีการระบุว่า สืบทอดกันในหมู่คนโขนละครมายาวนาน เชื่อกันว่าใครได้ครอบแล้วจะเป็นเมตตามหานิยมแก่ตนเอง ไปหาผู้ใดเขาก็รัก จะร้องรำทำเพลงประการใด ใคร ๆ ก็ชอบ

คาถานะหน้าทอง

ต่อมาจึงแผลงเป็นวิชาลงนะหน้าทอง ซึ่งเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม ระบุว่า การลงนะหน้าทองแต่เดิมไม่ได้ใช้ทองคำเปลวแล้วสวดคาถา แต่ต้องสักหมึกลงขม่อม โดย “นะ” ประกอบด้วยคาถา คือ นะ โม พุท ธา ยะ อุ จันท์ สูญญ์ ณะ

โดยต้องสักให้เป็นรูปยันต์ คือ ตัว นะ อยู่ตรงกลาง แล้วหุ้มด้วย โม ข้างใต้, แล้วครอบด้วย พุท กับ ธา, แล้วจุกก้นด้วย ยะ แล้วก็หุ้มด้วย ยะ อีกที่, แล้วต่อยอดด้วย อุ, จันท์, สูญญ์, ณะ อุ คือตัวอักษร อุ, จันท์ คือรูปพระจันทร์เสียว, สูญญ์ คือ ศูนย์ (วงกลม), ณะ คือ อุณาโลม

เมื่อต้องการใช้สรรพคุณจากการลงนะหน้าทอง จะต้อง “ปลุก” ขึ้นมา ด้วยการเขียนอักขระต่าง ๆ ตามรูปยันต์ที่สัก แต่เขียนด้วย “แป้งผัดหน้า” แทน โดยเขียนใส่ฝ่ามือแล้วผัดหน้าก่อนออกจากบ้าน, และชักสังวาล 1 ครั้ง ด้วยการเอามือขวาแตะไหล่ซ้าย และมือซ้ายแตะไหล่ขวาลูบไขว้กันลงมาถึงชายโครง

กุศโลบาย

ทั้งนี้ วิชาลงนะหน้าทอง เป็นวิชาที่ครูบาอาจารย์หวงแหน ใครอยากได้ก็ต้องไปบวชเป็นลูกศิษย์ แล้วเรียนบาลีจนถึงขั้นที่เขียนอักษรขอมได้จึงจะให้ได้ ซึ่งด้านหนึ่งก็เสมือนเป็นกุศโลบายชักชวนวัยรุ่นมาบวชเรียนนั่นเอง เพราะคนในสมัยก่อนมองว่า วัยรุ่นมักจะยุ่งอยู่แต่เรื่องความรักและการจีบกัน บางก็เสาะหาคาถามหาเสน่ห์มหานิยมไว้เรียกผู้ที่ตนใฝ่ปอง