บิตคอยน์ราคาร่วงมาอยู่ที่ 27,155.93 ดอลลาร์/BTC แปลงเป็นบาท ราคาต่ำล้านบาท ต่ำสุดรอบ 2 ปี อีเธอเรียมหลุด 2,000 ดอลลาร์ ฉุดมูลค่าตลาดคริปโตทั้งแผงลงมาอยู่สู่จุดต่ำสุดของปี วันเดียวสูญเฉียด 7 ล้านล้านบาท
วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ข้อมูลจากเว็บไซต์ coinmarketcap ระบุว่า ราคาคริปโตตัวสำคัญ เช่น อีเธอเรียมลดลงเกือบ 22% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มาอยู่ในระดับ 1,852.92 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ (ล่าสุด ณ เวลา 13.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ส่วนราคาบิตคอยน์ลดลง 13.38% มาอยู่ที่ 27,155.93 ดอลลาร์สหรัฐ /BTC ทีเธอร์ ลดลง 2.17% มาอยู่ที่ 0.9781 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ บีเอ็นบี (ไบแนนซ์) ลดลง 24.78% มาอยู่ที่ 235.57 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ โซโลนา ลดลง 34.52% มาอยู่ที่ 42.91 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ
ขณะเดียวกัน แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับเปิดตลาดในวันนี้ (12 พ.ค.) ที่ระดับ 34.68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาบิตคอยน์ที่แปลงเป็นเงินบาท วันนี้กลับมีราคารูดต่ำ 1 ล้านบาท/BTC มาอยู่ที่ 943,071 บาท/BTC แล้ว
รายงานข่าวจาก Decrypt เว็บไซต์ที่เกาะติดความเคลื่อนไหวคริปโต และสินทรัพย์ดิจิทัล รายงานว่า ราคาอีเธอเรียมร่วงลงมาต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564 ส่วนบิตคอยน์ลดลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563
“สัปดาห์นี้นับว่าเป็นช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ที่กำลังก่อตัวขึ้นในประวัติศาสตร์ของบิตคอยน์และอีเธอเรียมจากการสูญเสียมูลค่าของสินทรัพย์ในช่วงเพียง 1 สัปดาห์ มากถึง 28% และ 30% ตามลำดับ”
รายงานดังกล่าว ยังระบุด้วยว่า ปรากฏการณ์นี้ยังไม่ใกล้เคียงกับการสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
ย้อนไปเมื่อคืนที่ผ่านมา LUNA ของ เทอรา มีมูลค่าลดลงไปมากถึง 99% ในช่วง 1 สัปดาห์ เนื่องจากหลักทรัพย์อ้างอิงของ LUNA หรือ UST Stablecoin ของเทอรา สูญเสียตำแหน่งในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลท็อป 10 ในเวลาอันรวดเร็ว
และยังมีสินทรัพย์ดิจิทัลอีกหลายตัวที่ก่อนหน้านี้เคยทำราคาไว้ดี แต่ตอนนี้ต้องกลายเป็นหมีซึม ลดความร้อนแรงลง เช่น ApeCoin ที่เข้าสู่ภาวะหมี หรือ ราคาซึม ๆ เนื่องจากมูลค่าตามราคาตลาดลดลงไป 2 ใน 3 จากที่เคยมี หรือ กรณี Fantom ราคาลดลง 65% เป็นต้น
มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตที่สำคัญ เช่น บิตคอยน์ และ อีเธอเรียม ที่ลดลง ยังส่งผลให้มูลค่าตลาดคริปโตตกลงมาอยู่ที่ 1.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ด้วย
Decrypt ระบุด้วยว่า มูลค่าของคริปโตที่ลดลงในสถานการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการลดลงของราคาหุ้น ที่อยู่บนกระดาน Nasdaq และ Dow Jones ซึ่งยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.50% มาอยู่ที่ 1% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมการลดงบดุล ที่มีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่สูง และทำให้การกู้ยืมมีราคาแพงขึ้น
แต่ผลของการตัดสินใจดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ตลาดเงินตึงตัว และทำให้ราคาหุ้นลดลงเท่านั้น แต่รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ ก็ต้องรับผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ และบอบช้ำไปด้วย
วันเดียว ทำมูลค่าตลาดคริปโตสูญเงินเฉียด 7 ล้านล้านบาท
รายงานจากบลูมเบิร์ก ระบุว่า การเทรดคริปโตเคอร์เรนซี่ครั้งใหญ่ เพียงวันที่ 12 พ.ค. เพียงวันเดียว ทำให้ตลาดสูญเสียความมั่งคั่งมากถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 6,942,000 ล้านบาท ตามการประมาณการจากข้อมูลในเว็บไซต์ติดตามราคาคริปโต CoinMarketCap
การร่วงลงทั้งกระดานของคริปโตเคอร์เรนซี่ครั้งใหญ่ในวันนี้ เกิดจากการล้มลงของ UST หรือ Terra USD Stablecoin ซึ่งเป็นโทเคนที่มีมูลค่าคงที่ ส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลหลัก เช่น บิตคอยน์ราคาร่วงหนักทุบสถิติในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563 ส่วนอีเธอเรียม ลดลงไปต่ำว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือลดมากกว่า 16%
ส่งผลต่อราคาหุ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ อีกหลายตัวในเอเชีย เช่น บริษัท บีซี เทคโนโลยี กรุ๊ป จำกัด (BC Technology Group Ltd.) บริษัทด้านฟินเทคในฮ่องกง ราคาหุ้นปิดตลาดตกลงไป 6.7% บริษัท โมเน็กซ์ กรุ๊ป อิงค์ (Monex Group Inc.) ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตและพัฒนาตลาดแลกเปลี่ยน TradeStation และ Coincheck ราคาหุ้นร่วงไป 10%
สถานการณ์นี้ เกิดขึ้นหลังจากธนาคารใหญ่ทั่วโลกเดินหน้าเข้าโหนดดำเนินนโยบายการเงินตึงตัว เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีแรงกดดัน และนักลงทุนเทขายออกมา เพื่อหนีจากสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งยังส่งผลไปถึงสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด S&P 500 ร่วง 0.8% และคืนนี้ต้องจับตาดัชนี MSCI Asia Pacific ด้วย