ราคาบิตคอยน์ร่วงต่ำกว่า 3 หมื่นดอลลาร์ในรอบ 10 เดือน พาเหรียญคริปโตหลักร่วงทั้งแผง เหตุจากนักลงทุนหนีจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย ตึงตัวขึ้น จากการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ย
วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 บลูมเบิร์ก รายงานว่า ราคาเหรียญคริปโต รายใหญ่ของโลก บิตคอยน์ร่วงลงต่ำมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ (ณ เวลาประมาณ 7.25 น. ตามเวลาประเทศไทย)
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
นับเป็นการร่วงลงอยู่ระดับต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งครั้งแรกตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564 หรือ เกือบ 10 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเคยทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน พ.ย. 2564 ที่ราคาขึ้นไปมากกว่า 55% (อยู่ที่ราคา 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ) ท่ามกลางการไต่ระดับการลงทุนที่มีความเสี่ยงที่มากขึ้น
โดยราคาบิตคอยน์ ลดลงมากถึง 3.1% สู่ระดับ 29,992 ดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายในเอเชีย ส่วนอีเธอเลียมลดลงมากถึง 3.7% โซลาน่า ลดลง 8.2% และ อวาแลนซ์ ลดลง 10.4% (ณ เวลา 7.25 น. ตามเวลาประเทศไทย)
จอซ ลิม หัวหน้าฝ่ายอนุพันธ์ จีเนซิส โกลบอล เทรดดิ้ง นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในนิวยอร์ก กล่าวว่า เรากำลังเห็นการเคลื่อนไหวตัวลดลงอย่างช้าๆ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถือเหรียญระยะยาวกำลังปล่อยขายออกมา แทนที่จะเป็นการขายแบบชำระบัญชี หรือ ขายสร้างสภาพคล่อง และขณะนี้ สินทรัพย์ในบางบริษัทก็มีราคาใกล้ระดับต้นทุนแล้ว ดังนั้น ตลาดจึงต่างรอดูว่าผู้ถือหุ้นบริษัทเหล่านี้จะบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือไม่
เฟดขึ้นดอกเบี้ย ทำนักลงทุนคริปโตหนี้สินทรัพย์เก็งกำไรทั่วโลก
บลูมเบิร์ก วิเคราะห์ว่า ความสับสนวุ่นวายของคริปโตในวันนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดงบดุล เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่ได้ และรักษาสภาพคล่องในระบบควบคู่ไปด้วย เหตุนี้ทำให้นักลงทุนหนีจากสินทรัพย์เก็งกำไรในทุกตลาดในโลก
สตีเฟน โกลเดน นักวิเคราะห์วิจัยอาวุโส Cumberland DRW บริษัทด้านการดูแลสภาพคล่องตลาดคริปโต กล่าวว่า เขากำลังจับตาดูอย่างระมัดระวัง ว่าราคาในตลาดจะเป็นอย่างไรใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า
โดยการลดลงของราคาคริปโตหลักๆ ในวันนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีราคาหลุดไปอีกในช่วงตลอดปีนี้ หรือจะพลิกกลับมาทำระดับราคาสูงสุด อย่างที่เคยทำไว้เมื่อเดือน พ.ย. 2564 ที่ระดับราคา 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ/เหรียญ
เมื่อดูสถิติความสัมพันธ์ ตลอด 40 วันที่วัดจากเกณฑ์ของดัชนี S&P 500 ที่เคยบันทึกไว้ บลูมเบิร์กพบว่า ความเคลื่อนไหวของราคาคริปโต จะแปรผันกับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของราคาหุ้น และเสี่ยงให้ลากราคาบิตคอยน์ร่วงลงมาด้วย
ตลาดหุ้นยุโรป เอเชีย สหรัฐ ร่วง นักลงทุนหนีสินทรัพย์เสี่ยง
ด้าน บีบีซี รายงานว่า ราคาของบิตคอยน์ ที่มีมูลค่าราคาตามราคาตลาดที่ลดลงในวันนี้ เกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยวานนี้ (9 พ.ค.) ดัชนีหุ้นสำคัญในยุโรป เอเชีย และสหรัฐ ร่วงลงอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนกำลังหนีจากสินทรัพย์ที่เสี่ยงกว่าเพื่อหลบภัยไปยังสินทรัพย์ที่น่าจะปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.) ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่นร่วงลง 2.5% ขณะที่ FTSE 100 ของลอนดอนปิดตัวลงมากกว่า 2% ในสหรัฐอเมริกา ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 2% ดัชนี S&P 500 ร่วง 3.2% และ Nasdaq ร่วง 4.3% ทำให้ราคาสินทรัพย์จำนวนมากตกหนักต่อเนื่อง
และในช่วงเวลาที่ตลาดมีความแน่นอน นักลงทุนแบบเดิม ๆ มักจะขายสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงกว่า เช่น สกุลเงินดิจิทัล ออกมา พร้อมย้ายเงินของพวกเขาไปสู่การลงทุนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
การเคลื่อนไหวในตลาดคริปโตได้รับการติดตามแนวโน้มในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมืออาชีพ เช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยงและผู้จัดการการเงิน มีความกระตือรือร้นในการซื้อขายมากขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโดเมนของนักลงทุนรายย่อยและผู้ที่ชื่นชอบ
ปัจจุบัน บิตคอยน์ เป็นประมาณหนึ่งในสามของตลาดคริปโตฯ ที่มีมูลค่ารวมเกือบ 5.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้เห็นราคาร่วงลงมากกว่า 10% ในวันสุดท้ายและมากกว่า 20% ในสัปดาห์ที่แล้ว
อีเธอเรียม ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ก็มีมูลค่าลดลงเช่นกัน โดยลดลงมากกว่า 20% ในสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บีบีซี ระบุว่าการซื้อขายคริปโตที่ผันผวนไม่ได้ผิดปกติในปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ค่อนข้างเงียบ ขณะที่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
สถานการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งนี้ที่ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลมากขึ้นว่า อัตราเงินเฟ้อและต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงความกังวลจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย ยูเครน ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก