
คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ
โดย สาโรจน์ มณีรัตน์
นั่งอ่านหนังสือเรื่อง “เมื่อหัวว่าง จึงสร้างสรรค์” ที่เขียนโดย “กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร” แล้ว รู้สึกว่าน่าจะนำเกร็ดบางเรื่องที่เขาเขียนมาคิดต่อ โดยเฉพาะกับชื่อหนังสือ เพราะผมเองก็มักเป็นเช่นนั้น
แต่อาจไม่ได้สร้างสรรค์เท่าเขา
แค่คิดออก
คิดว่าดีที่สุดแล้ว
ต่อจากนั้น ผมก็รีบหาปากกาจดไว้กันลืม แต่พอคิดอะไรได้ดีกว่าเก่า ผมก็รีบจดอีก ซึ่งเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แต่ถามว่าดีจริง ๆ ที่พอจะนำไปใช้ในการทำอะไรต่อมั้ย น้อยครั้งมาก
“กวีวุฒิ” บอกว่า เขาถูกน้อง ๆ นักศึกษาที่ไปสอนตามมหา’ลัยถามอยู่บ่อยครั้งว่าจะทำธุรกิจอะไรดี ?
เขาจึงให้คาถาไป 7 ข้อ
หนึ่ง ใครที่คุณอยากแก้ปัญหาให้เขา
สอง อะไรคือปัญหาของคนคนนั้น
สาม ขนาดของปัญหาใหญ่แค่ไหนในสังคมโลกใบนี้
สี่ ใช้อะไรในการบรรเทาปัญหาเหล่านั้น
ห้า จะเสนอนวัตกรรมอย่างไร
หก อะไรคืออุปสรรคจนทำให้ล้มเหลว
เจ็ด ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการหยุดยั้งปัญหา
ซึ่งผมอ่านคาถาของเขาทั้ง 7 ข้อ รู้สึกว่าถ้าใครอยากจะทำธุรกิจจริง ๆ อาจจะนำไปใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ เพราะคำอธิบายของเขาบางอย่างเข้าใจยาก แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะพยายามไม่เข้าใจ
พูดง่าย ๆ คือสามารถเข้าใจได้
โดยเฉพาะข้อ 7 ที่เขาพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า การทำธุรกิจอะไรสักอย่างจะต้องมี “ต้นแบบ” หรือ “prototype” ในภาษาอังกฤษ และ “ต้นแบบ” จะต้องผ่านการทดสอบ ทดสอบ และก็ปรับ ปรับ ปรับ
ด้วยการนำไปให้เพื่อนสนิทชิม ใช้ และทดลอง เพื่อให้พวกเขา “ตำหนิอย่างสร้างสรรค์” ในการนำมาแก้ไข ข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด หรือถ้าเป็นไปได้ ไม่มีข้อตำหนิเลยยิ่งดี
ผมอ่านแล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องดี
เพราะถ้าเราอ่านบทสัมภาษณ์ ดูรายการโทรทัศน์บางรายการที่สัมภาษณ์นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เรามักจะพบว่าพวกเขาเริ่มต้นจากการทำอะไรไปให้เพื่อนชิม ใช้ และทดลองก่อน
จากนั้นถ้าเพื่อน ๆ เห็นว่าดี อร่อย และน่านำไปใช้ให้กับตัวเอง และครอบครัว เขาจะเปลี่ยนจาก “ใช้ฟรี” มา “ช่วยเหลือเพื่อน” แทน
ถ้าสมมุติเขามีเพื่อนสนิท 10 คน ก็จะมีเพื่อนช่วยเหลือ 10 คน แต่ถ้าเขามีเพื่อนอื่น ๆ ในเฟซบุ๊กอีก 100 คน ใน 100 คนอาจจะซื้อสินค้าของเขาสัก 20-30 คนก็เป็นไปได้
แต่อย่างน้อยใน 70-80 คนที่เหลือก็ถูกรับรู้ผ่านโลกเสมือนจริง ๆ ไปแล้วว่า “นายเอ” หรือ “นางสาวบี” ทำอะไรอยู่
ขอเพียงให้ “ต้นแบบสินค้า” ของเราดีจริง ๆ
ถูกทดสอบ และปรับ ปรับ ปรับจริง ๆ จนเห็นแล้วว่าสินค้าของเราถูกการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในที่สุดสินค้าเหล่านั้นจะถูกบอกต่อ จนกลายเป็นกลยุทธ์ปากต่อปาก กระทั่งทำให้สินค้าของเราเป็นที่ต้องการของตลาด
ผมว่านักธุรกิจรุ่นใหม่หลายคนใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะ และหลายคนประสบความสำเร็จ แม้พวกเขาอาจจะเรียนหนังสือมหา’ลัย หรืออยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัยทำงาน เพราะเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน เขาไม่ทำอาชีพเดียวอีกต่อไปแล้ว
แต่จะทำถึง 2-3 อาชีพ
หรือบางคนแค่ทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” ในการ “รับ” และ “ส่ง” สินค้าเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้เขาลืมตาอ้าปากได้
ยิ่งถ้าคนคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ, จีน, ญี่ปุ่น หรืออาหรับ อย่างใดอย่างหนึ่งได้ เขาจะขายสินค้าไปได้ทั่วโลก ซึ่งโอกาสอย่างนี้ไม่ได้เกิดกับทุกคน โดยเฉพาะกับคนรุ่นเก่า แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ โอกาสอย่างนี้ไม่ได้ยากเย็นสำหรับพวกเขาเลย
ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ขอให้เขา “กล้า” ที่จะทำ, ทดสอบ และปรับ ปรับ ปรับจริง ๆ เขาก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด
แต่กระนั้นจะต้อง “หัวว่าง” ด้วย เพราะ “ความคิดสร้างสรรค์” จะออกมา
พร้อมกันนั้น “กวีวุฒิ” ยกตัวอย่างบริษัทกูเกิลที่ให้เวลา 20% กับพนักงาน เพื่อเลือกทำในสิ่งที่ชอบ หรือบริษัท ไอดีโอ ที่ “สตีฟ จ็อบส์” ชื่นชอบ เขาก็จะมีครัวอยู่ตรงกลาง
เพราะเขาเชื่อว่าถ้าคนเราไม่ต้องทำงานประจำนาน ๆ บางทีความคิดสร้างสรรค์จะออกมา คล้าย ๆ กับตอนเราอาบน้ำ สระผม จู่ ๆ เราก็คิดไอเดียอะไรใหม่ ๆ ออกมา ซึ่งผมเองก็เป็นนะ
แต่แค่คิดออก
ยังไม่ถึงกับเป็นความคิดสร้างสรรค์
ในที่สุดก็เลยยังเป็นนักหนังสือพิมพ์อยู่จนทุกวันนี้ (ฮา)
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!