โลกใบนี้เป็นของเขา

แฟ้มภาพ

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

โดย สาโรจน์ มณีรัตน์

ระยะหลังมีโอกาสไปสัมภาษณ์ และพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง และผู้บริหารรุ่นใหม่ขององค์กรระดับสากลมากขึ้น จนทำให้รู้สึกว่าโลกแห่งการทำงานในปัจจุบันมันแคบลงจริง ๆ

คนจากประเทศหนึ่งมาทำงานในอีกประเทศหนึ่ง

คนจากเชื้อชาติหนึ่ง ศาสนาหนึ่ง มาหลอมตัวรวมกันกับคนอีกหลายเชื้อชาติ และอีกหลายศาสนา โดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด

ทั้งดูเหมือนจะเป็นองค์กรแห่งความหลากหลายที่ทำให้บริษัทเหล่านั้นเติบโตไปในทิศทางที่ดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ ระบบความคิดที่เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นกันเอง จนเกิดเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้น

ก็ล้วนเกิดจากการระดมสมองของพวกเขาเหล่านั้น

ผมถามผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นว่า คนที่มาจากหลากหลายสถานที่บนโลกใบนี้ทำให้บริษัทเติบโตอย่างไร ?

เขาตอบว่า พวกเขามีความฝัน และมีเป้าหมาย เขารู้ดีว่าองค์กรให้อะไรกับเขา และเขาจะสนองตอบต่อองค์กรอย่างไร

ที่สำคัญ พวกเขามีความสุขในการทำงาน

มีเพื่อนที่มาจากหลายประเทศ

และทุกคนมีความฝันที่ต้องการเติบโตในองค์กร แม้วันนี้เขาอาจทำงานในเมืองไทย แต่การที่บริษัทมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก วันหนึ่งเขาอาจอยากกลับบ้านเพื่อไปทำงานในประเทศของตนก็ได้ หรืออยากไปหาประสบการณ์ในประเทศอื่น

เขาก็สามารถทำได้ ถ้าเขามีความสามารถเพียงพอ เพราะเราเปิดโอกาสให้เขาเต็มที่

เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนต่างมีเป้าหมายชัดเจน แถมยังมีความฝันเป็นของตนเอง เขาจึงพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานอย่างหนัก ทางหนึ่งเพื่อให้ทุกคนยอมรับในความสามารถ ขณะที่อีกทางหนึ่งก็เพื่อไต่บันไดแห่งความสำเร็จ เพื่อให้ทีมงานรู้สึกภูมิใจ

เพราะคนที่สามารถไต่บันไดความสำเร็จได้เร็ววัน นอกจากจะเติบโตเป็นเดอะสตาร์ขององค์กร พวกเขาเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตในการทำงานสูงด้วย

เพราะเรามีโปรแกรมเพื่อสอนเขาให้กลายเป็นผู้บริหารในวันข้างหน้า

ซึ่งผมฟังแล้วก็ทำให้รู้สึกว่า เรานี่เกิดเร็วไปหน่อยจริง ๆ เพราะถ้าเกิดช้ากว่านี้คงตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ จีน และภาษาอื่น ๆ ให้แตกฉาน

เพื่อจะได้ทำงานในองค์กรแบบนี้บ้าง (ฮา)

ในทางเดียวกัน เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารรุ่นใหม่ ก็ต่างได้รับคำตอบที่สอดรับไปในระนาบเดียวกัน พวกเขาบอกผมว่า ส่วนใหญ่พวกเราจบปริญญาตรี ปริญญาโทจากต่างประเทศ และในทีมของพวกเราเป็นเจเนอเรชั่นวาย และเจเนอเรชั่นแซด แต่ละคนมาจากหลายประเทศ บางคนอยู่แผนกเดียวกัน แต่บางคนก็อยู่คนละแผนก

แต่เมื่อองค์กรมีนโยบายการสร้างทาเลนต์พูล หรือกลุ่มคนที่มีความสามารถ โดยดูจากความทุ่มเทในการทำงาน ความเป็นทีมเวิร์ก ไหวพริบ สติปัญญาในการแก้ปัญหา และวิสัยทัศน์ในการคิดธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้นมา พวกเราจึงมารวมตัวกัน

ในกลุ่มทาเลนต์พูล นอกจากจะได้เรียนรู้ทฤษฎีในการประยุกต์ใช้กับการทำงาน เรายังมีการคิดโปรเจ็กต์ใหม่ ๆออกมา ซึ่งโปรเจ็กต์เหล่านี้บางทีอาจนำไปพัฒนาเพื่อให้เกิดธุรกิจในอนาคต เพราะตอนพรีเซนต์โปรเจ็กต์จะมีแบรนด์แมเนเจอร์มาร่วมรับฟัง ซึ่งพอเขารับฟัง เขาจะรู้เลยว่าโปรเจ็กต์ไหนสามารถสร้างเป็นธุรกิจได้จริง

พูดง่าย ๆ คือ พร้อมต่อยอดธุรกิจทันที

นอกจากนั้น เรายังมีฟีลด์ทริปไปยังสาขาต่าง ๆ ของเราในต่างประเทศ เพื่อให้ทุกคนเกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน ทั้งยังเป็นการเรียนรู้การทำงานภาคสนามของเพื่อนพนักงานในต่างประเทศด้วย สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ถือเป็นโอกาสที่ทำให้เรานำประสบการณ์ ไอเดีย กลับมาพัฒนางานของบริษัทอีกทางหนึ่งด้วย เพราะพวกเราจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันประมาณ 1 ปี

ทั้งเรียนทฤษฎี และลงภาคสนาม

เพราะฉะนั้น พวกเราจึงสามัคคีกัน สำคัญไปกว่านั้น เรายังสามารถเน็ตเวิร์กกันต่อ จนทำให้กำแพงที่เคยกั้นระหว่างแผนกถูกทำลายลงด้วย

จนเกิดเป็นทีมเวิร์ก

ผมฟังแล้วก็ชมเขากลับไปในทันทีว่า โลกธุรกิจในยุคต่อไปอยู่ในมือพวกคุณแล้ว พวกคุณจงช่วยกันขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วย

ผมจะเฝ้ารอดูความสำเร็จของพวกคุณ