
ชั้น 5 ประชาชาติ
กฤษณา ไพฑูรย์
ปกติช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี เศรษฐกิจในหลายจังหวัดจะคึกคัก ผู้คนจะออกมาจับจ่ายใช้สอย เตรียมจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ซื้อของฝากของขวัญไปสวัสดีปีใหม่ ทำให้เม็ดเงินสะพัดกันไปถ้วนหน้า
แต่ปลายปีนี้ จากการพูดคุยกับบรรดานักธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกหลายคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ยอดขายในห้าง หน้าร้าน
ลดลงมาก บางห้าง “เงียบเหงา” กันเลยทีเดียว โชว์รูมสินค้าบางจังหวัดไม่ไกลจาก กทม.มากนัก เจอแต่พนักงานขาย เห็นลูกค้าแบบบางตามาก หลายห้างบอกว่า ปีนี้ยอดขายกระเตื้องขึ้น เพราะได้ช่วงมาตรการชิม ช้อป ใช้ ของรัฐบาลมาช่วยกระตุ้น เรียกว่าขายกันเกลี้ยงคลังสินค้า
จากเดิมคาดว่า ยอดขายปี 2562 จะลงไป “ติดลบ” ทำให้พลิกกลับมาเป็นบวกได้ แต่ปีหน้าหากภาครัฐไม่มีมาตรการอะไรออกมากระตุ้น คงลำบาก แค่ทำให้ผลประกอบการยืนตัวเลขเท่านี้ “ทรง ๆ แต่ไม่ให้ทรุดลงไป”…คง “หืดขึ้นคอกันเลยทีเดียว !”
เพราะหลายองค์กรทั้งรัฐ และเอกชนฟันธงแล้วว่า ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะผู้ว่าการแบงก์ชาติออกมาบอกคาดการณ์ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจปี 2563 จะขยายตัว 2.8%
แม้จะมากกว่าปี 2562 ที่ 2.5% แต่ยังอยู่ระดับต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทย ควรต้องอยู่ที่ 3.5-4% เพราะส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก การค้าโลกชะลอตัว
สอดรับกับ ดร.ปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ได้ฉายภาพไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในงานสัมมนา “เชียงใหม่ 2020 # เปลี่ยน ก่อนถูกเปลี่ยน” ซึ่งหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจัดขึ้นว่า ความเคลื่อนไหวของประเทศมหาอำนาจในโลก โดยเฉพาะการทะเลาะกันของประเทศคู่ค้ารายใหญ่สหรัฐอเมริกากับจีน การเลือกตั้งทั้งในสหรัฐและอังกฤษ ที่จะมีขึ้นในปีหน้า
รวมถึงอารมณ์ของผู้นำอย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้บรรยากาศในโลกยังมีความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะสงครามการค้าทำให้ผู้ผลิตรายเล็กในซัพพลายเชนอย่างไทยเดือดร้อน ส่งออกติดลบ “ปีหน้าเศรษฐกิจโลก และไทยยังชะลอตัว” แต่คาดจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีนี้เล็กน้อย
“ล่าสุดทรัมป์ประกาศว่า จะเลื่อนการใช้ภาษีกับสินค้าจีนไปก่อน เพราะเศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าจะมีการเลือกตั้ง คาดกันว่าการมีมาตรการแรง ๆ กับจีนอาจจะได้ฐานเสียง แต่ถ้ามากไป โดนจีนโต้ตอบบ้างจะเสียประโยชน์ ดังนั้นปีหน้า น่าจะมีบรรยากาศไม่รุนแรง หรือลดความผันผวน ความไม่แน่นอนเท่าปีนี้”
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของอังกฤษที่จะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือเบร็กซิต ปี 2563 อังกฤษจะมีการจัดการเลือกตั้งเช่นกัน ซึ่งผลสำรวจว่า พรรคอนุรักษนิยมจะชนะคงเดินหน้าทำเบร็กซิตต่อ ซึ่งมีเงื่อนไขเวลา 1 ปี ถ้าเงื่อนไขไม่สำเร็จภายในปีหน้า คงจะออกจากอียูโดยไม่มีเงื่อนไข มาที่ปมใหญ่ “ค่าเงินบาทแข็ง”
ดร.ปรเมธียอมรับว่า สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่ง “เป็นเรื่องลำบากที่แบงก์ชาติจะเข้าไปดูแล หรือทำให้ค่าเงินบาทอ่อนได้ตามใจชอบ” เพราะเงินไหลเข้ามาจากโครงสร้างหรือภาคการค้า และมีเรื่องการค้าทองเข้ามาซ้ำเติมอีก
“ปีหน้ามีแนวโน้มที่ค่าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่” แต่ว่าอาจจะไม่แรงเท่าปีนี้ แบงก์ชาติเองได้ช่วยดูแลหลายอย่าง
พยายามผ่อนปรนกฎระเบียบต่าง ๆ พยายามเปิดโอกาสมากขึ้น ให้มีเงินไหลออกมากขึ้น เข้าไปช่วยดูแลในตลาดการเงิน แต่ “เป็นไปได้ยาก”
อย่างที่บอก “แบงก์ชาติคงไม่สามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนได้มากนัก” อย่างไรก็ตาม หลายสิ่งหลายอย่างยังอยู่ท่ามกลางความผันผวน ความไม่แน่นอน ในการค้าโลก มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และจะกระทบเศรษฐกิจไทย ถือเป็นข้อจำกัดของปีหน้าอยู่…
ผู้เขียนขอให้ทุกท่านก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลายอย่างระมัดระวัง ดังคำพระท่านบอก ให้ “ฝึกสติ” ดำเนินชีวิตและธุรกิจ ภายใต้หลัก “ศีลธรรม” จะพร้อมรับความผันผวนปรวนแปรได้ในทุกรูปแบบ