นายกฯประยุทธ์เลือกมองมุมไหน ?

ชั้น 5 ประชาชาติ

ณัฐวุฒิ ประชาชาติ

ช่วงนี้กรุงเทพมหานครและอีก 28 จังหวัด กลายเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้ล็อกดาวน์เข้มข้น ปิดห้าง ปิดร้านอาหาร เปิดให้เฉพาะสั่งดีลิเวอรี่ กับซื้อกลับไปกินที่บ้าน

ขอความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ทำงานในรูปแบบ work from home แบบ 100%

หวังควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสร้ายโควิด-19 ให้กลับเข้าสู่ภาวะเหมือนช่วงก่อนการระบาดระลอก 3 ให้เร็วที่สุด

ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา

บรรดาผู้เชี่ยวชาญ หมอนักบริหาร และผู้มีอำนาจระดับรัฐมนตรี ร่วมกันวิเคราะห์ “แบบจำลอง” การประเมินมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ (ล็อกดาวน์) ในห้วงเวลา 14 วันที่ผ่านมา โดยใช้โมเดลการคาดการณ์กรณีล็อกดาวน์ที่มีประสิทธิภาพในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรุ่นถัดไปได้ร้อยละ 20

เทียบเคียงกับมาตรการที่ดำเนินการในช่วงเดือนเมษายน 2563 เปรียบเทียบกับการล็อกดาวน์ที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 25 และเร่งการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุถึงเป้าหมายภายใน 2 เดือน

แสดงให้เห็นว่า “จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน” และ “แนวโน้มผู้เสียชีวิตลดลง”

ถัดจากนั้นอีก 2 วัน ในวันที่ 3 สิงหาคม “อนุชา บูรพชัยศรี” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า

“นายกฯอยากให้ประชาชน สื่อมวลชนได้ติดตามวิธีการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศด้วย ซึ่งจะเห็นวิธีการแตกต่างกันไป บางประเทศที่มีวัคซีนหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน mRNA วัคซีน Viral Vector หรือวัคซีนเชื้อตาย”

“ทุกประเทศยังคงต้องกลับล็อกดาวน์ ต้องดูแลการแพร่ระบาดอีกครั้งถึงจะมีวัคซีนแล้วก็ตาม ในส่วนของประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ที่จะต้องมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อที่จะทำให้การแพร่ระบาดลดน้อยลง”

เมื่อติดตามการแก้ปัญหาโควิด-19 จากต่างประเทศ ตามที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องการ ใน 4 ประเทศ 4 ภูมิภาค

ประเทศเพื่อนบ้านสิงคโปร์ เตรียมผ่อนปรนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมเป็นต้นไป หลังยอดผู้ติดเชื้อลดลง ขณะที่มีประชากรเกือบ 70% ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว

ประเทศมหามิตรกับไทยอย่างจีน พลันที่เจอกับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า แม้ใช้วิธี “ปิดเมือง” อย่างเร่งด่วน แต่ก็เร่งตรวจเชื้อพลเมืองอย่างเข้มข้น เช่น เมืองอู่ฮั่นมีประชากรราว 12 ล้านคน ใช้เวลาเพียง 5 วัน ตรวจครบทั้งเมือง เมืองหนานจิง ตรวจเชื้อประชาชนไปกว่า 9 ล้านคน

อังกฤษ ที่บริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 4.1 แสนโดสให้กับไทย แม้อัตราการติดเชื้อโควิด-19 ยังสูงในระดับหมื่นรายต่อวัน แต่อัตราการเสียชีวิตต่ำ เพราะการฉีดวัคซีนได้ผล

ที่สหรัฐอเมริกา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) ออกข้อแนะนำให้พลเมืองสหรัฐ สวมหน้ากากอีกครั้ง หลังเผชิญหน้ากับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ที่ระบุว่า ติดง่ายเหมือนอีสุกอีใส และอัตราการผลิตไวรัสระหว่างคนที่ฉีดวัคซีน-ไม่ฉีดวัคซีน สามารถแพร่เชื้อได้เหมือนกัน CDC จึงยอมรับว่า The war has change. สงครามการสู้กับโควิด-19 ได้เปลี่ยนไปแล้ว

แต่เมื่อลองสาดส่อง การใช้ชีวิตประจำวันของพลเมืองในประเทศที่เอ่ยถึงข้างต้น ทั้งสหรัฐ จีน สิงคโปร์ และอังกฤษ ผ่าน YouTuber ทั้งของคนในประเทศนั้น หรือคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ

นิวยอร์ก สหรัฐ คนเดินถนนกว่า 90% ใช้ชีวิตปกติ แทบไม่สวมหน้ากาก เว้นแต่ใช้บริการสาธารณะที่แออัด เช่น รถไฟใต้ดิน ร้านอาหารเปิดตามปกติ แต่เว้นระยะห่างอย่างชัดเจน ที่เซ็นทรัล ปาร์ก คนมาออกกำลังกาย เล่นดนตรีเปิดหมวก เต้นรำ จูงสุนัขเดินเล่น ฯลฯ ประหนึ่งไม่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19

อังกฤษ เราเห็นแฟนฟุตบอลเป็นหมื่นคนเข้าสนามไปชมการแข่งขันฟุตบอล ตั้งแต่รอบรอง-รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร แม้ไม่เต็มความจุของสนามตามมาตรการเว้นระยะห่าง แต่คนก็ไม่สวมหน้ากากแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการจัดงานคอนเสิร์ต ไนต์คลับเปิดให้บริการตามปกติ

เมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ของจีน ก็ลดการใส่หน้ากากอนามัยในการใช้ชีวิตลง จะใส่ตอนใช้บริการขนส่งสาธารณะ ในซูเปอร์มาร์เก็ต มีเฉพาะผู้ให้บริการเท่านั้นที่ใส่หน้ากาก

สิงคโปร์ แม้จะยังมีการใส่หน้ากากอนามัยกันอย่างเข้มข้น แต่การใช้ชีวิตเริ่มกลับมาเป็นปกติ หลังจากระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยมีวัคซีนชนิด mRNA เป็นตัวหลัก ใช้นโยบาย test trace vaccination

กุญแจสำคัญของทั้ง 4 ประเทศ 4 ภูมิภาค ที่ทำเช่นนี้ได้คือมีวัคซีนที่เพียงพอ อย่างที่รู้ว่า สหรัฐ จีน อังกฤษ เป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีน

ส่วนสิงคโปร์เป็นประเทศที่พลเมืองน้อยก็จริง แต่ใช้วิธี “แทงม้าหลายตัว” แม้มีวัคซีน mRNA เป็นวัคซีนหลัก แต่ก็มีวัคซีนเชื้อตายอย่างซิโนแวค เป็นตัวเลือกให้กับชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนที่ต้องการฉีดวัคซีนของจีน

กระนั้นยังมีอีกหลายประเทศที่เริ่มอยู่ในระดับ “เอาไม่อยู่” เหมือนอย่างไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม

ส่วนไทย “วัคซีน” ยังมีไม่พอให้ฉีด วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับการบริจาคจากสหรัฐ ก็เกิดดราม่าตามโรงพยาบาลต่าง ๆ


ดังนั้น ขึ้นอยู่กับนายกฯอยากให้มองประเทศไหนมาเปรียบเทียบ