เช็กวิธีคำนวณอัตราใหม่ ผลตอบแทนบำเหน็จ ม.33-39 ได้เงินเท่าไหร่ ?

ประกันสังคม

ไขข้อข้องใจ มาตรา 33 และ 39 กรณีชราภาพได้เงินบำเหน็จเท่าไหร่ หลังจากมีการปรับผลประโยชน์ตอบแทนอัตราใหม่ร้อยละ 3.46 ต่อปี เช็กข้อมูลโดยละเอียดที่นี่

วันที่ 22 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานประกันสังคม เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 เรื่องกำหนด “ผลประโยชน์ตอบแทน” เงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 ลงนามโดยนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า เป็นการสมควรกำหนดอัตราผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพ

และวิธีการในการคำนวณจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ คำนวณจ่ายในอัตราร้อยละ 3.46 ต่อปี (จากเดิมในปี 2565 ให้คํานวณจ่ายในอัตราร้อยละ 2.83 ต่อปี) ของเงินสมทบสุทธิและผลประโยชน์ตอบแทนสะสมรวมกัน

เงินสมทบมาตรา 33-39

– ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) หรือมนุษย์เงินเดือน ต้องจ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน โดยถูกหักจากเงินเดือนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ (สูงสุดหักไม่เกิน 750 บาท) นอกจากนั้น นายจ้างต้องจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคมในอัตราเดียวกันด้วย

– ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39) หรือ บุคคลที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนในมาตรา 33 มาก่อนแล้วลาออก แต่ต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมไว้ จึงสมัครเข้าใช้สิทธิประกันสังคมในมาตรา 39 แทน การสมัครประกันสังคมในกลุ่มนี้ มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน อีกทั้งต้องไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ

ผู้ประกันตนมาตรา 39 ต้องส่งเงินเข้ากองทุน 432 บาทต่อเดือน และรัฐบาลจะช่วยสมทบอีก 120 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ เจ็บป่วย/อุบัติเหตุ ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และเสียชีวิต

เงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายแต่ละเดือนเข้ากองทุนของประกันสังคม จะถูกแบ่งการบริหาร 3 ส่วน จากเพดาน 750 บาท/คน/เดือน

1. จำนวน 225 บาท สมทบกองทุนดูแลเรื่องเจ็บป่วย/อุบัติเหตุ ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสียชีวิต ถึงแม้ไม่ใช้สิทธิก็ไม่ได้รับเงินคืน

2. จำนวน 75 บาท สำหรับใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ สามารถเอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างตกงานหรือรอหางานใหม่ ถึงแม้ไม่ใช้สิทธิก็ไม่ได้รับเงินคืน

3. จำนวน 450 บาท เก็บเป็นเงินออมกรณีชราภาพ จะได้คืนเมื่ออายุครบ 55 ปี

ได้เงินชราภาพประกันสังคมเมื่อไหร่?

เงินบำเหน็จหรือบำนาญในระบบประกันสังคม โดยผู้ที่ได้รับแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 ผู้ประกันตนทั้ง 3 มาตรา (ม.33, ม.39, ม.40)

  • ผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และแจ้งสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน
  • ผู้ประกันตน มาตรา 40 ต้องมีอายุมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ และแจ้งสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน

กลุ่มที่ 2 ทายาทของผู้ประกันตนที่เสียชีวิต

  • ลูก หรือ ลูกบุญธรรมที่ชอบด้วยกฏหมาย
  • สามี-ภรรยา ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • บิดา-มารดา ที่มีชีวิตอยู่

ผู้ประกันตนจะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ?

– บำเหน็จชราภาพ จะให้แก่ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบตั้งแต่ 1-179 เดือน โดยจะได้รับเป็นเงินก้อน 1 ครั้ง

– บำนาญชราภาพ จะให้แก่ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน โดยจะได้รับรายเดือนไปตลอดชีวิต

สำหรับเงินบำนาญของผู้ประกันตนมาตรา 33 คำนวณจากอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานคำนวณ ซึ่งปัจจุบันฐานคำนวณค่าจ้างสูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท และกรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน รับเงินบำนาญชราภาพรายเดือนเพิ่ม 1.5% จากอัตรา 20% ในทุก 12 เดือน

สำหรับเงินบำนาญของผู้ประกันตนมาตร 39 ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือนหรือ 15 ปี จะได้รับเงินบำนาญชราภาพ โดยสูตรคำนวณอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานคำนวณ ซึ่งปัจจุบันฐานคำนวณค่าจ้างสูงสุดอยู่ที่ 4,800 บาท เท่ากับจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ 960 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ เมื่อเกิดสิทธิรับบำนาญชราภาพแล้ว ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบต่อเนื่อง ประกันสังคมจะบวกเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ของระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก ๆ 12 เดือน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนได้รับเงินบำนาญชราภาพเพิ่มขึ้น

ผู้ประกันตนแต่ละคนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับฐานค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายและระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบของแต่ละบุคคล

วิธีคำนวณเงินบำเหน็จมาตรา 33-39 ได้เท่าไหร่

กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายให้กับประกันสังคม รวมกับส่วนของนายจ้างจ่ายสมทบ และผลประโยชน์ตอบแทน ตามยอดเงินชราภาพ

1) จ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบเฉพาะส่วนของผู้ประกันตนที่จ่ายให้กับสำนักงานประกันสังคม (และได้ผลประโยชน์ตอบแทน ตามยอดเงินชราภาพ)

ตัวอย่าง : ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบได้ 9 เดือน เดือนละ 300 บาท จะได้รับเงินบำเหน็จเท่ากับ 300 x 9 = 2,700 บาท

2) จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 180 เดือน จะจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบส่วนของผู้ประกันตนบวกกับส่วนของนายจ้างที่จ่ายเงินสมทบให้กับสำนักงานประกันสังคม เพื่อจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (และได้ผลประโยชน์ตอบแทน ตามยอดเงินชราภาพ)

ตัวอย่าง : ผู้ประกันตนนาม A ใช้มาตรา 33 อายุ 55 ปี ทำงานมา 57 เดือน คำนวณจากฐานตัวเลขเดือนละ 15,000 บาท สิ้นสุดสภาพการเป็นลูกจ้างวันที่ 30 กันยายน 2565 ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทน ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่วินิจฉัยในวันเดียวกัน โดยมีรายการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนย้อนหลัง ดังนี้

ปี จำนวนเงินสมทบจากนายจ้าง จำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่าย รวม (บาท)
2561 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 10,800
2562 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 10,800
2563 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 10,800
2564 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 450 x 12 เดือน = 5,400 บาท 10,800
2565 450 x 9 เดือน = 4,050 บาท 450 x 9 เดือน = 4,050 บาท 8,100
รวม 25,650 25,650 51,300

 

เท่ากับว่าผู้ประกันตนาม A จะได้รับเงินบำเหน็จในปีที่ขอรับประโยชน์ อายุ 55 ปี = 51,300 บาท

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถตรวจเช็คเงินสมทบที่นำส่งประกันสังคมว่าได้ส่งมาแล้วกี่เดือน หากไม่สะดวกเดินทางไปยังสำนักงานประกันสังคม ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบผ่านช่องทางออนไลน์ได้ 3 ช่องทาง คือเว็บไซต์ของ สปส. www.sso.go.th, แอปพลิเคชั่น SSO Connect สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง ระบบ iOSและ Android และ Line Official Account ของ สปส. @ssothai

ผลประโยชน์ตอบแทนอัตราใหม่ 2566

“ผลประโยชน์ตอบแทน” เงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 คือ เงินปันผลที่จ่ายให้แก่ผู้ประกันตนจากการที่สำหนักงานประกันสังคมนำเงินสมทบไปลงทุน โดยปี 2566 ผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ คำนวณจ่ายในอัตราใหม่ 3.46 ต่อปี โดยข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมชี้แจงแก่ประชาชาติธุรกิจว่า 3.46% ใช้คำนวณของปี 2565 ซึ่งประกาศเกิดขึ้นในปี 2566

ทั้งนี้ อัตราผลประโยชน์ตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี มีดังนี้

ปี อัตราผลประโยชน์ตอบแทน กรณีบำเหน็จชราภาพ มาตรา 33 และมาตรา 39 (ร้อยละ)
2561 3.16
2562 4.52
2563 2.75
2564 2.83
2565 3.46

วิธีคำนวณผลประโยชน์ตอบแทน

ปี เงินสมทบ เงินสมทบสะสม x อัตราผลประโยชน์ตอบแทน ผลประโยชน์ตอบแทน
2561 10,800 10,800 x 3.16% 341.28
2562 10,800 (10,800+10,800) = 21600 x 4.52% 976.32
2563 10,800 (10,800+10,800+10,800) x 2.75% 891.00
2564 10,800 (10,800+10,800+10,800+10,800) x 2.83% 1,222.56
2565 8,100 [(10,800+10,800+10,800+10,800+8,100) x 3.46%] x 9/12 1,331.24
รวม 4,762.40

หมายเหตุ: 9/12 หมายถึง ผู้ประกันตนนําส่งเงินสมทบมาแค่ 9 เดือน ภายใน 1 ปี

สรุปตัวอย่าง: ผู้ประกันตนนาม A ซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เกษียณอายุที่ 55 ปี ทำงานมา 57 เดือน เงินบำเหน็จที่จะได้รับประกอบด้วย

= เงินสบทมส่วนของตนเอง + เงินสบทมส่วนของนายจ้าง + ผลประโยชน์ตอบแทน

= 25,650 + 25,650 + 4,762.40 = 56,062.40

ยื่นขอรับบำเหน็จชราภาพอย่างไร

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบและทราบสิทธิที่จะได้รับแล้วสามารถยื่นขอรับบำเหน็จ หรือบำเหน็จชราภาพ ได้ที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ใกล้บ้าน หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา โดยใช้เอกสาร ดังนี้

  • เป็นบัตรประชาชนตัวจริง
  • กรอกแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สปส. 2-01)
  • สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ที่จะรับโอนเงิน สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หน้าแรก ที่มีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่นคำขอฯ แต่หากผู้ประกันตนมีบัญชีพร้อมเพย์ที่ใช้เลขบัตรประชาชนผูกกับบัญชีออมทรัพย์ สามารถแจ้งขอรับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ไปพร้อมการยื่นคำร้องได้ โดยไม่ต้องใช้สำเนาสมุดบุญชีธนาคาร (บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ไม่สามารถใช้ได้)

ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเมื่อไร

– เงินบำเหน็จ ได้รับภายใน 7-10 วันทำการ (ไม่นับวันหยุดราชการ) หลังจากได้รับการอนุมัติ


– เงินบำนาญ หลังจากได้รับการอนุมัติ จะมีเงินโอนเข้าบัญชีภายในวันที่ 25 ของเดือนถัดไป