ขณะที่ประเทศไทยประกาศที่จะเป็น “เมดิคอลฮับ” ของภูมิภาค แต่โจทย์ท้าทายคือประเทศไทยยังต้องนำเข้าทั้งยาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งหมายถึงการที่ต้องพึ่งพาต่างประเทศ และที่สำคัญทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลของคนไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะประชาชนฐานรากที่จะประสบปัญหาไม่สามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้
ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นคงทาง “ยา” และสาธารณสุขของประเทศ บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จึงริเริ่มลงทุนในธุรกิจยา โดยก่อตั้ง บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เมื่อปี 2552 ด้วยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลในการวิจัยพัฒนา เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตยาที่เรียกว่า “ไบโอฟาร์มา” ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำทั้งยังร่วมมือกับ CIMAB รัฐวิสาหกิจยาอันดับหนึ่งของประเทศคิวบา จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “เอบินิส” เพื่อวิจัยพัฒนายารักษาโรคมะเร็งและโรคแพ้ภูมิตัวเอง
- ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นราธร-อุรัชนา ศรีชาพันธุ์ ถูกฟ้องล้มละลาย
- เปิดเกณฑ์แจกเงินผู้สูงอายุ 3,000 บาท เช็กขั้นตอนรับเงิน
- ราชกิจจาฯประกาศ มาตรฐานคุณวุฒิสาขาแพทยศาสตร์ฉบับใหม่ บังคับใช้แล้ว
ทุนลดาวัลย์สู่ผู้ผลิตยา
“อภิพร ภาษวัธน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และบริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของทุนลดาวัลย์ในการลงทุนในธุรกิจยา ไม่ได้มุ่งเรื่องผลกำไรทางธุรกิจ แต่เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านยาและความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทย เพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสยามไบโอไซเอนซ์เป็นผู้ผลิตยาที่ใช้เทคโนโลยีไบโอฟาร์มา (ชีววัตถุ) ที่สร้างมาจากธรรมชาติ ไม่ใช้ยาเคมี โดยมีการวิจัยและผลิตยาอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยได้รับยาที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผลเข้าถึงได้เนื่องจากประเทศไทยนำเข้ายาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดยาปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ปัจจุบันสัดส่วนของยานำเข้าสูงถึง 80% ทำให้ไทยขาดดุลการค้าด้านการแพทย์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวสู่การเป็น “เมดิคอลฮับ” อย่างแท้จริง
10 ปีแห่งความอดทน
“อภิพร” บอกว่า ธุรกิจยาเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความอดทนมาก ๆ เพราะนอกจากต้องใช้เวลาในการวิจัยพัฒนา อีกสิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับยาที่ผลิตในประเทศ ดังนั้นการที่ไบโอฟาร์มาเป็นอุตสาหกรรมอนาคต และเป็นหนึ่งใน new S-curve ของประเทศ จึงต้องมีความอดทนในการที่จะสร้างธุรกิจขึ้นมา เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพดี ด้วยราคาที่ต่ำกว่ายานำเข้าจากต่างประเทศ
“ปัจจุบันบริษัทเข้าสู่ปีที่ 10 จนถึงขณะนี้มีการลงทุนไปแล้วประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยปี 2559 บริษัทเริ่มผลิตยาออกจำหน่ายมี 2 รายการ คือยาเพิ่มเม็ดเลือดแดงสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย และยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่รับคีโมและภูมิต้านทานลดลง ซึ่งยาทั้ง 2 รายการได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และได้รับการบรรจุเข้าบัญชียาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคมแล้ว”
นอกจากนี้สยามไบโอไซเอนซ์ยังเป็นโรงงานยาแห่งเดียวของประเทศที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล PIC/s GMP, ISO 9001 : 2015, ISO 17025 : 2016 ทำให้ได้รับการยอมรับจากองค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น อย., เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่จ้างให้บริษัทผลิตยาบางชนิด รวมถึงผลิตยารักษาสัตว์ให้กับเครือเบทาโกร เป็นต้น
“บริษัทจึงตั้งเป้าในช่วง 5 ปีนับจากนี้จะวิจัยและพัฒนายาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 40 รายการ โดยเฉพาะการพัฒนายารักษามะเร็ง ซึ่งได้ร่วมทุนกับรัฐวิสาหกิจยาของคิวบา ซึ่งกำหนดที่จะเริ่มผลิตจัดจำหน่ายได้ในปี 2564 ซึ่งบริษัทจะเป็นฐานผลิตให้กับคิวบาและละตินอเมริกา”
“ไบโอฟาร์มา” ลุยตั้งแต่ต้นน้ำ
“ดร.ทรงพล ดีจงกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด อธิบายถึงกระบวนการผลิตยาของบริษัทว่า เริ่มจากการวิจัยพัฒนาสารตั้งต้นชีววัตถุ หรือ “ไบโอฟาร์มา” ซึ่งเป็นโปรตีนจากสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกันกับที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตามธรรมชาติ ซึ่งได้จากกระบวนการหมักเชื้อจุลินทรีย์ จากนั้นใช้ชีววัตถุดังกล่าวมาผลิตเป็นตัวยา ซึ่งยาชนิดดังกล่าวจะทำหน้าที่เลียนแบบโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ อย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคไต และโรคภูมิแพ้ตนเอง (ข้ออักเสบรูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน)
“ข้อดีของยาประเภทนี้คือส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยาเคมีชนิดอื่น ๆ และสามารถเข้าไปรักษาได้อย่างตรงจุดด้วยการเข้าไปทำลายเซลล์กำเนิดโรคโดยไม่ส่งผลกระทบอวัยวะส่วนอื่น ซึ่งต่างจากยาเคมีที่จะทำลายเซลล์ดีในร่างกายไปด้วย ทั้งนี้เดิมสารตั้งต้นผลิตยาต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่สยามไบโอไซเอนซ์ได้วิจัยและพัฒนากระบวนการหมักและเลี้ยงจุลินทรีย์เพื่อสกัดชีววัตถุได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้า และยาทั้ง 2 รายการที่ผลิตก็ช่วยให้ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ป่วยได้รับยาที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้”
“ปัจจุบันยาของบริษัทเป็นที่ยอมรับ โรงเรียนแพทย์ทุกแห่งได้นำยาเพิ่มเม็ดเลือดแดงและยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวไปใช้ในการรักษาแล้ว ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจ ทำให้โรงพยาบาลเล็ก ๆ ยอมรับและนำไปใช้มากขึ้น”
โจทย์ใหญ่ “ความเชื่อมั่น”
“ธวัชชัย พิเศษกุล” กรรมการบริหาร บริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด บริษัทในเครือทำหน้าที่ด้านการขายกล่าวเสริมว่า แม้ว่าราคายาของบริษัทจะถูกกว่ายานำเข้า 2-3 เท่า ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น รวมถึงยาของบริษัทจะไปอยู่ในบัญชียาของ สปสช.และสำนักงานประกันสังคมแล้ว แต่การทำตลาดยังต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจและการยอมรับกับแพทย์ของแต่ละโรงพยาบาลอย่างมาก อุปสรรคสำคัญมาจากเรื่องของความไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของยา เพราะคนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในยานำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า
“สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนทัศนคติทั้งของผู้ป่วยและแพทย์ หากสามารถทำให้แพทย์เชื่อมั่นในคุณภาพของยาได้จะทำให้ผู้ป่วยมั่นใจไปด้วย แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถจำหน่ายยาทั้งสองชนิดได้ประมาณ 1 ล้านหลอด จากความต้องการใช้ทั้งหมดประมาณ 4 ล้านหลอด”
นอกจากนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพยาดังกล่าว ด้านหนึ่งบริษัทจะขยายการส่งออกยามากขึ้น เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกวิธีที่จะทำให้คนไทยยอมรับและเชื่อมั่นในคุณภาพยาของบริษัทไทยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการส่งออกไปยังเมียนมาและกัมพูชาแล้ว และจะขยายการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกันบริษัทจะผลักดันเรื่องการได้รับรองมาตรฐานจากยุโรป ทั้งในส่วนของโรงงานการผลิตและการนำยาที่ผลิตได้ไปขึ้นทะเบียนที่ยุโรป โดยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ สะสมคะแนนเพื่อพิสูจน์และตอกย้ำถึงคุณภาพยาของบริษัท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับมาในประเทศ
ต่อยอดสู่ “เวชสำอาง”
นอกจากนี้สยามไบโอไซเอนซ์ยังแตกบริษัทลูกที่ชื่อว่า “อินโนไบโอคอสเมด” ดำเนินธุรกิจเวชสำอาง โดยใช้ชีววัตถุที่ใช้ในการผลิตยามาเป็นองค์ประกอบ สำหรับเรื่องนี้ “นฤมล ชุนหกรณ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโนไบโอคอสเมด จำกัด บอกว่า ปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ แบรนด์ “อาร์เดอร์มิส” ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอยและผลิตภัณฑ์ลดปัญหาผมร่วง และแบรนด์ “ยูเดอร์มา” ผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอยแผลเป็น
“ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่เรียกว่าฮิวเมนอีจีเอฟ หรือโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว ซึ่งได้มาจากกระบวนการผลิตเดียวกันกับการผลิตยา”
จึงนับเป็นความก้าวหน้าทางด้านการวิจัยและพัฒนา “ยา” สำหรับอนาคตอย่างยั่งยืน