แตกต่าง (ไม่) แตกแยก บริหาร “เจน” อย่างไรให้งานรุ่ง

คนรุ่นใหม่

“สังคมสูงวัย” เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ การบริหารจัดการทางสังคม การวางแผนทางธุรกิจ และการทำการตลาด แต่กระนั้นอีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือการที่ประเทศไทยจะเป็น “สังคมหลายรุ่น” ที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป และจะไม่มีรุ่นไหนที่จะเป็น “รุ่นใหญ่” หรือมีสัดส่วนที่ใหญ่ และเป็นสัดส่วนหลักอย่างที่เคยเป็นมา

เพราะประชากรในรุ่นวัยต่าง ๆ มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสังคมที่แตกต่าง “แต่” ไม่แตกแยก

เพราะสังคมไทย ประกอบด้วย ประชากร 7 รุ่น ได้แก่

1) ประชากรรุ่นสงครามโลก (GI)

2) ประชากรรุ่นเงียบ (Silent) หรือรุ่นหัวโบราณ (Traditionalists)

3) ประชากรรุ่น Gen-B หรือรุ่นเบบี้บูม

4) ประชากรรุ่น Gen-X

5) ประชากรรุ่น Millennials ซึ่งบางท่านเรียกว่า รุ่น Gen-Y หรือ Gen ME

6) ประชากรรุ่น Gen-Z หรือที่บางท่านเรียกว่า รุ่น Nexters

และ 7) ประชากรรุ่น Gen Alpha

“ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน” นักวิจัยอาวุโส สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า วิถีแห่งเศรษฐกิจไทย และโอกาสทางธุรกิจในปัจจุบันตลอดถึงในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้า ย่อมไม่เหมือนกับช่วง 2-3 ทศวรรษก่อน

หรือยุคที่ประชากรรุ่นเบบี้บูมเคยเป็นกำลังหลักทางเศรษฐกิจ ที่เคยทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตถึงร้อยละ 10 ต่อปี จนก้าวพ้นจากการเป็นประเทศรายได้น้อย (low income country) มาเป็นประเทศรายได้ปานกลาง (middle income country)

“อีกทั้งจากความมานะบากบั่น ความอดทน ความเชื่อมั่นในตัวเองสูง การให้ความสำคัญกับการมีระเบียบในการดำเนินชีวิต ทุ่มเทชีวิตให้กับหน้าที่การงานและองค์กรบริษัทที่ตนทำงานอยู่ และปฏิบัติตามกรอบระเบียบกติกาอย่างเคร่งครัด เพราะปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศมาจากพลังของประชากร 3 รุ่น คือ 1) ประชากรรุ่น Millennials (19.9 ล้านคน) 2) ประชากรรุ่น Gen-X (14.6 ล้านคน) และประชากรรุ่น Gen-B หรือรุ่นเบบี้บูม (13.3 ล้านคน) ตามลำดับ”

“แต่เมื่อถึงปี 2583 ประชากรรุ่น Millennials จะเป็นพลังหลักทางเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของผู้ผลิต และผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ และด้วยขนาดของประชากรที่มากถึง 19.2 ล้านคน รองลงมาคือรุ่น Gen-X (12.5 ล้านคน) ขณะที่ประชากรรุ่น Gen-B ซึ่งเคยเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมื่อหลายทศวรรษก่อนจะลดจำนวนลงถึงเกือบเท่าตัว เหลือประมาณ 6 ล้านคน”

ดังนั้น ถ้าจะกล่าวถึงลักษณะเด่นของ Gen-X “ศ.ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน” รองผู้อำนวยการบริหารด้านวิชาการ ศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์ จึงเสริมว่า ประชากรรุ่นนี้ทุ่มเทชีวิตให้กับหน้าที่การงานในระดับหนึ่ง สาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่ประชากรรุ่นนี้เห็นประชากรรุ่นเบบี้บูม (รุ่นพ่อแม่ของตน) เคยประสบความสำเร็จจากการทุ่มเทชีวิตให้กับหน้าที่การงาน ความมานะบากบั่น ความอดทน

“แต่ต้องยอมรับว่าประชากรรุ่น Gen-X มีความยืดหยุ่น ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ปิดกั้นตนเองจนเกินไป รวมถึงมีความคิดว่าการเปลี่ยนงานย้ายงานเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสอดคล้องกับการที่รุ่น Gen-X เติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ เริ่มมีบทบาทในชีวิตประจำวันและการทำงาน”

“แต่สำหรับรุ่น Millennials เป็นประชากรกลุ่มใหญ่สุดของประเทศ ทั้งยังเป็นรุ่นที่มีศักยภาพ สอดรับกับสังคมฐานความรู้แบบมืออาชีพแห่งศตวรรษที่ 21 ประชากรรุ่นนี้มีศักยภาพสูงในการเรียนรู้ รอบรู้ มีศักยภาพในการคิดและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มีศักยภาพที่จะจัดการกับเวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และพัฒนาต่อยอดแบบมืออาชีพได้ ทั้งยังให้ความสำคัญกับรางวัลเชิดชูความสำเร็จ และคาดหวังที่จะมีวิถีชีวิตการทำงานในรูปแบบที่หลากหลายกว่าเดิม”

“จึงเป็นที่คาดว่าเมื่อถึงปี 2583 ประชากรรุ่นสงครามโลก (GI) จะจากพวกเราไปหมดแล้ว เหลือเพียงประชากร 6 รุ่น โดยจะมีเพียงประชากรรุ่น Gen Alpha รุ่นเดียวเท่านั้นที่เพิ่มจำนวนขึ้นถึง 160% จากเพียง 7.3 ล้านในปัจจุบัน กลายเป็นประชากรรุ่นที่มีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 (19.02 ล้านคน) รองจากประชากรรุ่น Millennials (19.15 ล้านคน) แสดงว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมหลายรุ่นที่จะไม่มีรุ่นไหนที่จะเป็นรุ่นใหญ่ หรือมีสัดส่วนที่ใหญ่และเป็นสัดส่วนหลักอย่างที่เคยเป็นมา”

ขณะที่ “ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์” อาจารย์ประจำสาขาการเงิน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สำหรับประชากรรุ่น Gen-Z หรือที่เรียกกันเก๋ ๆ อีกอย่างว่า รุ่น Nexters จัดว่าเป็นชาวดิจิทัลโดยแท้ โดยประชากรรุ่น Nexters มีส่วนที่คล้ายกับประชากรรุ่น Millennials ในระดับหนึ่ง คือเมื่อได้แสดงฝีมือไปแล้วจะคาดหวังว่าจะได้รับคำติชม หรือได้รางวัลตอบแทน

“ที่สำคัญ พวกเขาเป็นรุ่นที่ใส่ใจปัญหาสังคม และไม่ปิดกั้นตัวเองในการแสดงออกซึ่งสิทธิ และเสียงของตน เพราะประชากรรุ่น Nexters ชอบ และเหมาะกับการทำงานเป็นทีมขนาดเล็ก เก่งในการค้นข้อมูลนอกตำราจากอินเทอร์เน็ต ชอบการสื่อสารที่ชัดและรวดเร็ว ชอบและคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ การพูดคุยทางออนไลน์ และชอบที่มี coach หรือติวเตอร์ส่วนตัว แบบที่สามารถติดต่อได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะไกลกันเพียงใด”

“ขณะที่ประชากรรุ่น Gen Alpha จะมีความเข้าใจ ฉลาด และเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน ๆ มีความสามารถสูงในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างสรรค์นวัตกรรม ประชากรรุ่น Gen Alpha เติบโตมาในช่วงที่พรั่งพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตมากที่สุด และใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยี ประชากรรุ่น Gen Alpha นี้อาจมีความอดทนไม่สูงนัก และสมาธิในการทำอะไร ๆ อาจไม่ยาวนัก”

“ในอนาคต ประชากรรุ่น Gen Alpha และประชากรรุ่น Millennials จะมีบทบาทที่สำคัญทั้งในภาคสังคม และภาคเศรษฐกิจต่อประเทศ โดยประชากรรุ่น Millennials จะมี 19.15 ล้านคน และประชากรรุ่น Gen Alpha จะมี 19.02 ล้านคน ดังนั้น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการมี empathy จะมีส่วนสำคัญมากในการสร้างความเข้าใจกัน ระหว่างกลุ่มประชากรในอนาคต ที่จะมีขนาดไม่น้อย”

ดังนั้น หากมีการปลูกฝังให้ประชากรรุ่น Gen Alpha และประชากรรุ่น Millennials เรียนรู้ที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่จะทำให้ความแตกต่างไม่กลายเป็นความแตกแยก