กลุ่มเซ็นทรัล กางแผนส่งเสริมสาธารณสุข 4 มิติ ช่วยไทยฝ่าวิกฤตโควิด

กลุ่มเซ็นทรัล กางแผนส่งเสริมสาธารณสุข 4 มิติ ผนึกกำลังบริษัทในเครือและภาคี ช่วยไทยฝ่าวิกฤตโควิด

วันที่ 27 สิงหาคม 2564 กลุ่มเซ็นทรัลเปิดเผยรายงานภารกิจส่งเสริมด้านสาธารณสุข ช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งการสนับสนุนเรื่องพื้นที่ อุปกรณ์ งานของบุคลากรทางการแพทย์ และส่งเสริมการวิจัยยาและวัคซีนต้านโรคโควิด-19 โดยผนึกกำลังบริษัทในเครือและภาคี ช่วยสังคมครบ 360 องศา เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้อยู่ในวงจำกัด มุ่งให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้โดยเร็ว

“พิชัย จิราธิวัฒน์” กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มจะแพร่ระบาดในประเทศไทยไปอีกระยะเวลาหนึ่ง และส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยอย่างน่าเป็นห่วง สิ่งสำคัญที่สุดในการบรรเทาปัญหาคือ ประชาชนทุกคนต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในประเทศเดินหน้าต่อไปได้ด้วย

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล

“นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 กลุ่มเซ็นทรัลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมด้านสาธารณสุขอย่างจริงจังในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริการสนับสนุนเรื่องให้ใช้พื้นที่พร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อประชาชนเข้าถึงจุดฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวก การสนับสนุนงานของบุคลากรทางการแพทย์ และการส่งเสริมการวิจัยยาหรือวัคซีนต้านโรคโควิด-19 โดยแพทย์ไทย เป็นต้น”

โดยประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายครอบคลุม 4 ด้าน ดังนี้

1) จัดตั้งหน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล

กลุ่มเซ็นทรัลร่วมมือกับภาครัฐ เช่น หอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร สาธารณสุขประจำจังหวัด และ สำนักงานประกันสังคม ในภารกิจจัดตั้งหน่วยบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลแบบครบวงจร ทั่วประเทศ 33 จุดฉีด แบ่งเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัล 24 จุดฉีดทั่วประเทศ, โรบินสันไลฟ์สไตล์ 6 จุดฉีด, ท็อปส์พลาซ่า 1 จุดฉีด, ศูนย์การค้าแพลทฟอร์ม วงเวียนใหญ่ 1 จุดฉีด และจิวเวลรี่ เทรด เซ็นเตอร์ 1 จุดฉีด โดยเปิดให้บริการต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 โดยยอดบริการฉีดวัคซีนถึงเดือนสิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนให้คนไทยตามวัคซีนที่ได้รับจัดสรรไปแล้วกว่า 1.1 ล้านเข็ม

2) มาตรการเซ็นทรัล สะอาดมั่นใจ

สร้างแผนแม่บทมาตรการความสะอาด-ปลอดภัย ให้กับศูนย์การค้าทั่วประเทศตามหลัก D-M-H-T-T-A ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้ เพื่อชะลอการระบาดของโควิด-19

โดย D ย่อมากจาก distancing การเว้นระยะระหว่างบุคคล หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น, M มาจาก mask wearing การสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา, H มาจาก hand washing การล้างมือบ่อย ๆ โดยกลุ่มเซ็นทรัลจัดให้มีจุดบริการเจลล้างมืออย่างทั่วถึงเพียงพอ, T มากจาก temperature ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการ เพื่อคัดกรองผู้ใช้บริการ, T มาจาก testing การตรวจหาเชื้อโควิด-19 และ A มากจาก application การส่งเสริมให้ติดตั้งและใช้แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และ “หมอชนะ” ก่อนเข้า-ออกสถานที่ทุกครั้ง

นอกจากนั้น กลุ่มเซ็นทรัลยังสนับสนุนและรณรงค์ให้พนักงานทุกคนได้รับการวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยปัจจุบันพนักงานในกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศได้รับวัคซีนแล้วมากกว่า 85%

3) สนับสนุนการปฏิบัติงานของด่านหน้า

กลุ่มเซ็นทรัลสนับสนุนห้องพักในเครือโรงแรมเซ็นทารากว่า 8,856 ห้อง ให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้พัก ระหว่างปฎิบัติภารกิจเพื่อความสะดวก เพราะใกล้กับสถานที่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังได้จัดส่งอาหารในเครือซีอาร์จีให้ผู้ป่วย home isolation มากกว่า 16,000 มื้อ ในโครงการ Meal for You โดยร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลตากสิน

นอกจากนั้นจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และอื่น ๆ รวมกว่า 9 ล้านบาท อาทิ วัคซีนซิโนฟาร์ม 3,000 เข็ม ห้องความดันลบ 4 ห้อง เครื่องช่วยหายใจสำหรับห้องปฏิบัติการ 3 เครื่อง และยาฟาวิพิราเวียร์ กว่า 25,000 เม็ด เป็นต้น รวมถึงสมทบทุนก่อสร้างหอผู้ป่วยสนามเร่งด่วน และจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย รวมเป็นมูลค่ากว่า 12.9 ล้านบาท

4) ระดมทุน-สนับสนุนงานวิจัย

กลุ่มเซ็นทรัลระดมทุนเพื่อนำไปใช้สนับสนุนงานวิจัยกระบวนการยับยั้งและป้องกันโรคโควิด-19 โดยแพทย์ไทยเพื่อคนไทย ผ่านโครงการทำด้วยใจ ไฟท์โควิด-19 (Help Thai Fight Covid-19) ผ่านช่องทางการบริจาคของธุรกิจในเครือและรวมเงินทุนที่กลุ่มเซ็นทรัลร่วมสมทบด้วย โดยรวมได้มากกว่า 15.8 ล้านบาท เพื่อส่งมอบให้กับโรงพยายบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผ่านแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

“พิชัย” กล่าวด้วยว่า การระดมทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมและผลักดันการคิดค้นวิธีลดการแพร่กระจายโรค ผ่านยารักษาและบรรเทาอาการ รวมถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยหากงานวิจัยประสบความสำเร็จจะทำให้คนไทยทั้ง 68 ล้านคน เข้าถึงการรักษาและป้องกันโรคได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น