โคลเวอร์ เพาเวอร์ พร้อมลุย 3 กลุ่มธุรกิจ ครึ่งปีแรก ทำรายได้ 983.1 ล้านบาท

โคลเวอร์ เพาเวอร์

บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV พร้อมเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ธุรกิจในครึ่งปีหลัง ผ่านการขับเคลื่อน 3 กลุ่มธุรกิจ เตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มจาก 8,000 ตันต่อเดือน เป็น 12,000 ตันต่อเดือน รับคำสั่งซื้อพุ่ง โชว์ผลงานไตรมาส 2/65 มีรายได้รวม 366.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 19.8 ล้านบาท

วันที่ 11 สิงหาคม 2565 นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก เปิดเผยว่า สำหรับแผนดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2565 บริษัทยังสานต่อกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อขยายการเติบโตต่อเนื่อง ผ่านการขับเคลื่อนทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ

เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล

ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจำนวน 3 โครงการ กำลังการผลิตรวม 19.8 เมกะวัตต์ ร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คาดว่าจะมีการลงนามได้ในไตรมาส 4/2564 ขณะที่ความคืบหน้าการลงทุนในโรงไฟฟ้ามิยาซากิในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ คาดจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 2/2566 พร้อมเตรียมเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าขยะชุมชนของภาครัฐ ซึ่ง CV มีศักยภาพความพร้อมครบทุกด้าน ด้านเทคโนโลยี ด้านแหล่งเชื้อเพลิง และด้านเงินทุนในการลงทุนดังกล่าว

2) ธุรกิจด้านวิศวกรรม (EPC Turkey) เตรียมเซ็นสัญญารับงานก่อสร้างในโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมมากขึ้น หลังจากที่บริษัทได้ขยายขอบเขตการให้บริการสู่ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป (General Construction) และธุรกิจก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (MODULAR) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการเซ็นสัญญารับงานในเร็ว ๆ นี้

และ 3) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Power Plant Support) ที่บริษัทได้ขยายการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต และ CV วางแผนขยายกำลังการผลิต Wood Pellets เพิ่มเติม จาก 8,000 ตันต่อเดือน เพิ่มเป็น 12,000 ตันต่อเดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นปีหน้ารวมถึงอยู่ระหว่างวางแผนขยายโรงงานผลิต Wood Pellets แห่งใหม่ร่วมกับพันธมิตร เพื่อรองรับกับความต้องการในอนาคต

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทมีรายได้รวม 366.8 ล้านบาท เติบโต 10.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 331.6 ล้านบาท โดยเป็นผลเติบโตจากกลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรม (EPC Turkey) ที่มีรายได้กว่า 203.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และมีรายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 123.8 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ทำได้ 19.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 16.4 ล้านบาท เนื่องจากมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลสะบ้าย้อย “รุ่งทิวา ไบโอแมส” กำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ เข้ามาจำนวน 20 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน) มีรายได้รวม 983.1 ล้านบาท เติบโต 40.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 697.7 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้กลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรม 574.0 ล้านบาท เติบโตกว่า 42% ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,757 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 50%

ด้านธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ามีรายได้ 274 ล้านบาท เติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) ในประเทศเวียดนามซึ่งสร้างรายได้กว่า 90.4 ล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในครึ่งปีแรกทำได้ 34.7 ล้านบาท ลดลง 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 43.1 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะมีกำไรจากการขายเครื่องจักรและให้บริการที่เพิ่มขึ้นกว่า 40.8% แต่ยังถูกกดดันจากผลกระทบราคาต้นทุนก๊าซที่ค่อนข้างสูง

ส่งผลให้ CV ต้องหยุดเดินเครื่องการผลิตในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (SPP) ที่จังหวัดสระบุรีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้กำไรในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าลดลง นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท รวมถึงมีค่าที่ปรึกษาการเข้าลงทุนโครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดในประเทศเวียดนาม เป็นต้น