EEC ดึง New S-Curve ลงทุนได้เกินครึ่ง ไทยจ่อขึ้นแท่นฮับ EV Digital การแพทย์

“คณิศ” รายงานบอร์ด EEC ผลงาน 4 ปี อนุมัติลงทุนสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท ดึงการลงทุนจากอุตสาหกรรมใหม่ 5 New S-Curve ได้ถึง 49% ประกาศไทยพร้อมขึ้นแท่นเป็นทั้งฮับ EV Digital และ Hospital ด้านการแพทย์ ตั้งเป้า 5 ปี 2566-2570 ลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท ขยายตัวได้ 7-9% ต่อปี

วันที่ 15 สิงหาคม 2565 นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ EEC) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของอีอีซีในช่วง 4 ปีแรก (2561–2565) ที่มีการเติบโตที่ดีครบทุกมิติ ผลประโยชน์ตรงถึงประชาชน

โดยเกิดการอนุมัติงบลงทุนสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท เกินเป้าหมาย 1.7 ล้านล้านบาท ใน 5 ปีที่เป็นแผนแรกของอีอีซี ขณะเดียวกัน สามารถดึงเทคโนโลยีใหม่ผ่านการลงทุนที่มีการอนุมัติลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 S-curve สัดส่วนถึง 70% ของการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด และ 5 New S-Curve มีสัดส่วนการลงทุน 36% เพิ่มขึ้นเป็น 49% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 นี้

นอกจากนี้ ยังสร้างระบบการพัฒนาบุคลากรตามความต้องการของตลาด (Demand Driven) แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่ทำงานกับนวัตกรรมใหม่ อบรมไปได้แล้ว 16,114 คน สิ้นปี 2566 จะดำเนินการให้ได้ 100,000 คน

ซึ่งผลประโยชน์จะตกถึงประชาชน และมีระบบดูแลอย่างยั่งยืน โดยผลประโยชน์ทางตรง โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ระบบสาธารณสุขทันสมัยสาธารณูปโภค (น้ำ ไฟฟ้า ขยะ) ทันสมัยเพียงพอ มีโอกาสมีงานทำ รายได้ดี

การพัฒนาตรงถึงประชาชน พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิต บูรณาการการลงทุนในชุมชน ผ่านแผนเกษตร แผนพัฒนาเชิงพื้นที่ Neo Pattaya-บ้านฉาง-บ้านอำเภอ-มาบตาพุด-ระยอง

โครงการลงถึงระดับชุมชน เกิดการมีส่วนร่วมทั้ง พลังสตรีดูแลสิ่งแวดล้อม อีอีซีสแควร์ บัณฑิตอาสา เยาวชนต้นแบบ โครงการต้นแบบสวนภาษาอังกฤษ และจีน หลักสูตรอีอีซีกับการบริหาร อปท.

โครงการสินเชื่อพ่อค้า-แม่ขาย และ SMEs หลังสถานการณ์โควิด กับ 9 สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (ปล่อยไปแล้ว 51,420 ราย เป็นสินเชื่อ 34,548 ล้านบาท)

ทางด้านพื้นฐาน ก้าวกระโดดใน 5 ปีข้างหน้า (2566-2570) ซึ่งมั่นใจว่า 5G ของไทยเร็วที่สุด ครอบคลุมมากที่สุดในอาเซียน นำหน้าประเทศอื่น ๆ ประมาณ 2 ปี ทำให้บริษัทชั้นนำด้านดิจิทัลหันมาลงทุนใน EEC อนาคตจะเป็นธุรกิจไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี

และต้องยอมรับว่านโยบาย EV ของรัฐบาลไทยนำหน้าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยตั้งใจจะเป็น Hub การผลิตของอาเซียนต่อไป ทำให้บริษัทรถยนต์ที่ตั้งใจจะผลิต EV เข้ามาลงทุนใน EEC รวมทั้งธุรกิจแบตเตอรี่ ระบบไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถ EV

ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการแพทย์ และ Wellness การที่ EEC ได้จัดระบบสาธารณสุขและการแพทย์ลงตัว โดยแบ่งงานกันทำทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการเปิดฉากการพัฒนาการแพทย์สมัยใหม่ทั้ง จีโนมิกส์ และ Digital Hospital ทำให้มีความสนใจการลงทุนทางการรักษาพยาบาลระดับสูง ระบบที่เชื่อมโยงดังกล่าวจะนำไปสู่เครือข่ายธุรกิจ Wellness ทั้ง รพ.ชั้นนำ เวชสำอาง ศูนย์พักฟื้น ธุรกิจโรงแรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการแพทย์ อุตสาหกรรมยา อุปกรณ์การแพทย์

อย่างไรก็ตาม ศูนย์นวัตกรรมสำคัญเริ่มดำเนินการโดยมี EECi เสร็จแล้วระยะแรก กำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดความรู้ เกษตร ดิจิทัล หุ่นยนต์ โดรน EV แบตเตอรี่ ส่วน EECd ที่เป็น Digital Valley เปิดดำเนินการแล้ว และจะรับการลงทุน DATA Center แรกปลายปี 2565

ทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการหลัก เข้าสู่ช่วงการก่อสร้างปลายปีนี้ และจะแล้วเสร็จในปี 2568-2569 ซึ่งจะทำให้ EEC ก้าวเข้าสู่ระยะการขยายตัวที่สำคัญในปี 2569 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ เป้าหมายของอีอีซีในช่วง 5 ปีต่อไป (2566-2570) ได้เป้าหมายการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท (2566-2570) โดยจะมีเงินลงทุนประมาณปีละ 400,000-500,000 ล้านบาท คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 7-9% ต่อปี ทำให้ประเทศไทยขยายตัวได้ประมาณ 5% ตั้งแต่ปี 2567