กรมการค้าต่างประเทศ เปิด 7 แผนการทำงานปี’66  ดันมูลค่าการค้าไทย

รณรงค์  พูลพิพัฒน์
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

กรมการค้าต่างประเทศ เปิด 7 แผนดำเนินงานปี 2566 พร้อมเร่งผลักดันสินค้าเกษตร ลุยตลาดต่างประเทศ คุมเข้มมาตรฐานสินค้า ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย รวมถึงนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้การออกใบอนุญาต หวังลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ

วันที่ 16 ธันวาคม 2565 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การดำเนินงานของกรม ในปี 2566 พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเร่งผลักดันส่งออกข้าว การเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนให้ได้ตามเป้าหมาย เป็นต้น

ทั้งนี้ สำหรับแผนการดำเนินงาน ของกรมในปี 2566 ดังนี้

1.การผลักดันสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น สินค้าข้าว กรมเร่งผลักดันและจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดข้าวไทย เพื่อรักษาและขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าเดิมและแสวงหากลุ่มลูกค้าใหม่ โดยในปี 2566 กรมมีแผนจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ (Thailand Rice Convention 2023) ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการค้าข้าวโลกเดินทางมาประชุมสัมมนาวิชาการ และเจรจาธุรกิจ

อีกทั้ง ยังมีแผนการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ข้าวไทย โดยเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ อาทิ งาน BIOFACH ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี งาน GULFFOOD 2023 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ งาน FOODEX 2023 ณ ประเทศญี่ปุ่น งาน China-ASEAN Expo ครั้งที่ 20 (CAEXPO) 2023 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และงาน Fine Food 2023 ณ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

สินค้ามันสำปะหลัง กรมฯ มีแผนขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลังในปี 2565/66 ได้แก่ (1) ตลาดเดิม : จีน (2) ตลาดเก่า : ยุโรป และ (3) ตลาดใหม่ : ตุรกี นิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และซาอุดีอาระเบีย ผ่านกิจกรรมในรูปแบบ Online และ Onsite รวมถึงการเชิญกลุ่มผู้นำเข้าเข้าร่วมงานมันสำปะหลังโลก ปี 2566 (World Tapioca Conference 2023) ณ จังหวัดนครราชสีมา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566

กรมการค้าต่างประเทศ
กรมการค้าต่างประเทศ เปิด 7 แผนดำเนินงานปี 2566

นอกจากนี้ กรมยังเร่งผลักดันการส่งออกพลาสติกชีวภาพโดยตั้งเป้าหมายการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากมันสำปะหลังไปยังต่างประเทศมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งมีสินค้านำร่อง คือ เทอร์โมพลาสติกสตาร์ช (Thermoplastic starch : TPS) และผลักดันการส่งออกแป้งฟลาวมันสำปะหลังปลอดกลูเตนไปยังตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

2.การคุมเข้มมาตรฐานสินค้า กรมมุ่งกำกับดูแลมาตรฐานสินค้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าที่ไทยส่งออก-นำเข้า เป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า โดยจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำกับดูแลมาตรฐานสินค้าส่งออกที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลทั้ง 9 ชนิด

ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเขียว ถั่วเขียวผิวดำ แป้งมันสำปะหลัง ปุยนุ่น ปลาป่น และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และกำกับดูแลมาตรฐานสินค้านำเข้า ซึ่งสินค้าสำคัญที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล คือ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่นำเข้าตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และไทย-สปป.ลาว

3.การค้าชายแดน โดยช่วงต้นปี 2566 จะจัดคณะเจรจาผลักดันเปิดด่านชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่ยังไม่เปิดทำการ และอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าชายแดนให้เกิดการขยายตัวทางการค้าอย่างเป็นรูปธรรม

และกรมยังมีแผนดำเนินงานโครงการขยายการค้าการลงทุนชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการจัดมหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 66 มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ด้านลาว จังหวัดเชียงราย หรือตาก หรือหนองคาย หรือมุกดาหาร หรือนครพนม และด้านเมียนมา ด้านกัมพูชา จังหวัดกาญจนบุรี หรือสระแก้ว หรือตราด

นอกจากนี้ กรมยังได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศข้อมูลการค้าและการลงทุน (Commerce Intelligence Centre [Border and Transit Trade and SEZ]) หรือระบบ CIC BTS ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลและระบบงานสำคัญของกรม ได้แก่ ข้อมูลสถิติการค้าชายแดน-ผ่านแดน และการค้าระหว่างประเทศ ข้อมูลการออกหนังสือสำคัญการนำเข้า-ส่งออกสินค้า

และข้อมูลมาตรการ NTMs ของประเทศคู่ค้าที่มีผลกระทบต่อสินค้าไทย ซึ่งกรมมีแผนที่จะเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ภายในต้นปี 2566

4.การอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการและการพัฒนาระบบการให้บริการของกรม กรมได้นำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในงานบริการออกหนังสือสำคัญการส่งออก-นำเข้าสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ

โดยกรมได้ดำเนินโครงการ DFT SMART Certificate of Origin (C/O) เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ให้ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์หนังสือรับรองฯ ได้ด้วยตนเอง (Self-Printing) ซึ่งเป็นการให้บริการออกหนังสือรับรองฯ แบบ No Visit

คาดว่าจะพร้อมให้บริการได้ในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้กว่า 480 ล้านบาทต่อปี และจะดำเนินโครงการต่อเนื่องในระยะที่ 2 เพื่อพัฒนาต่อยอดโดยการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

และหลักการบริหารความเสี่ยง (Risk-Based Management on Profile) เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาระบบฯ เพื่อรองรับแบบหนังสือรับรองฯ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form C/O) สำหรับทุกความตกลงทางการค้า คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนทางการค้าให้ผู้ประกอบการได้ปีละ 1,330 ล้านบาท

อีกทั้ง กรมยังได้พัฒนาระบบการให้บริการการขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกสินค้ามาตรฐาน การอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า (บริษัท Survey) และผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า (Surveyor) รวมถึงการต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถชำระเงินและพิมพ์ใบทะเบียนและใบอนุญาตในรูปแบบที่ผู้ขอรับบริการไม่ต้องเดินทางมาติดต่อเจ้าหน้าที่ (No Visit)

และจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลการออกใบรับรองมาตรฐานสินค้า (มส. 24) และการรายงานการส่งออก (มส. 25) กับกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ขอรับบริการจะได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566

5.ความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายใหม่ ๆ ของกรม เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น กรมจึงได้ปรับปรุงและทบทวนกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ อาทิ พระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. TCWMD) พระราชบัญญัติว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาด

และการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. AD-CVD) เป็นต้น

6.การปกป้องและตอบโต้ทางการค้า กรมจะใช้ 1) การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าที่ไทยจะหมดอายุการใช้มาตรการฯ ในปี 2566 และคาดว่าอุตสาหกรรมภายในอาจจะยื่นขอให้เปิดทบทวนเพื่อต่ออายุมาตรการฯ มีจำนวน 2 กรณี ได้แก่

(1) สินค้ายางในรถจักรยานยนต์จากจีน จะหมดอายุมาตรการในวันที่ 29 พ.ย. 66

(2) สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจากจีน จะหมดอายุมาตรการในวันที่ 12 ธ.ค. 66

ที่ผ่านมาในปี 2565 ไทยมีการดำเนินการใช้มาตรการ AD จำนวน 13 กรณี (จากทั้งหมด 24 กรณี) ส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มเหล็ก ในส่วนกรณีที่ไทยถูกประเทศคู่ค้าใช้มาตรการ

(1) AD 71 กรณี

(2) CVD 5 กรณี

(3) SG 14 กรณี

2) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-circumvention : AC) กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการไต่สวนและการแก้ต่างด้านมาตรการ AC ได้ดำเนินการในการปกป้องและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยทุกรายในการรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตน

โดยได้ดำเนินการ เช่น ติดตามและแจ้งข่าวสารให้ผู้ประกอบการไทยทุกรายทราบอย่างต่อเนื่อง จัดทำหนังสือคัดค้านเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย รวมไปถึงให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการไทยทุกรายในการดำเนินการแก้ต่างอย่างเต็มที่

7.การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมเร่งส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงต่าง ๆ อาทิ FTA และ RCEP เป็นต้น เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้า ลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทย

ในปี 2565 (มกราคม-ตุลาคม) ผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง FTA เป็นมูลค่า 71,882.18 ล้านเหรียญสหรัฐ และ RCEP คิดเป็นมูลค่า 819.05 ล้านเหรียญสหรัฐ

“กรมพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานด้านการค้าต่างประเทศในทุกมิติ และพร้อมจะเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ที่จะคอยดูแล อยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทย และอำนวยความสะดวกในด้านการค้าต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าฟันมรสุมทางการค้าได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในการให้ความรู้เรื่องกฎระเบียบ

และมาตรการทางการค้าของประเทศผู้นำเข้า เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยสามารถส่งออกสินค้าได้เต็มศักยภาพ รวมถึงมีการจัดหลักสูตรและ Workshop ในการอบรมเชิงลึกให้แก่ผู้ประกอบการไทย”