อียูเคาะ มาตรการปรับคาร์บอนฯ CBAM บังคับใช้ 1 ต.ค. 66 เพิ่มเป็นสินค้า 7 กลุ่ม

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผย อียูได้ข้อสรุปมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ขยายเพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้า เตรียมบังคับใช้มาตรการ 1 ต.ค. 66 ก่อนเริ่มใช้เต็มรูปแบบ 1 ม.ค. 69 ย้ำผู้ประกอบการไทยคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อลดภาระการซื้อใบรับรอง CBAM ในอนาคต

วันที่ 26 ธันวาคม 2565 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู)

โดยล่าสุดการประชุม 3 ฝ่าย ระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรป รัฐสภายุโรป และคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ได้ข้อสรุปให้ขยายขอบเขตการบังคับใช้ CBAM จากเดิม 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้า ให้เพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้า โดยรวมไฮโดรเจนและสินค้าปลายน้ำบางรายการ อาทิ นอตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็กกล้า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (indirect emissions) อาทิ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งได้ข้อสรุปในรายละเอียดสำคัญของมาตรการดังกล่าวแล้ว และจะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566

นอกจากนี้ ที่ประชุมให้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2568 (3 ปีแรก) เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งผู้นำเข้าสินค้า 7 กลุ่มมีหน้าที่รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ผลิต และเริ่มบังคับใช้มาตรการอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น

โดยขั้นตอนต่อไป รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ต้องเห็นชอบร่างกฎหมาย CBAM เป็นทางการ และคณะกรรมาธิการยุโรปต้องจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อกำหนดรายละเอียดในทางปฏิบัติก่อนที่มาตรการ CBAM จะมีผลใช้บังคับในเดือนตุลาคม 2566

“จากพัฒนาการของกฎหมาย CBAM ที่เกิดขึ้น กรมขอให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องนำมารายงานอียูภายใต้มาตรการ และควรพิจารณาทางเลือกใหม่ในกระบวนการผลิต เพื่อให้ปล่อยคาร์บอนต่ำ นำพลังงานสะอาดและหมุนเวียนมาใช้ เพื่อลดภาระในการซื้อใบรับรอง CBAM ในอนาคต

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย อาทิ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงพาณิชย์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการไทยต่อไป”


ทั้งนี้ ในปี 2564 สถิติการส่งออกสินค้าของไทยไปอียู ตามพิกัดสินค้าที่ระบุในร่างกฎหมาย CBAM ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า มูลค่า 125.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 3.76% ของการส่งออกของโลก อะลูมิเนียม มูลค่า 61.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 3.75% ของการส่งออกของโลก และนอตและสกรู มูลค่า 95.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 19.96% ของการส่งออกของโลก