
รัฐบาลอนุมัติมาตรการช่วย SMEs โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 10 เพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายระดับ SSMEs
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1 มิ.ย.นี้ ใครมีสิทธิรับวงเงินค่าซื้อสินค้า 900 บาท
- ตรวจหวย ตรวจผลรางวัล ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 มิ.ย. 66 (อัพเดต)
- “เหล้า-เบียร์” เจ๊กอั้ก ! ร่างกฎหมายใหม่ คุมเข้ม-สุดโหด
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 10 โดยอนุมัติงบฯ วงเงินรวมไม่เกิน 7,125 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพที่ต้องการสินเชื่อ แต่หลักประกันไม่เพียงพอหรือมีปัญหาด้านสภาพคล่อง ให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินและสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ส่วนวงเงินค้ำประกันรวม 50,000 ล้านบาท (ไม่เกิน 40 ลบ./ราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นขอค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท) อายุการค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี ส่วนระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ มีค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน
รวมทั้งโครงการเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปี และสามารถจัดสรรอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่รัฐบาลจ่ายแทนผู้ประกอบการ SMEs ในแต่ละโครงการย่อยได้ตามความเหมาะสม
การจ่ายค่าประกันชดเชย บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการ (10 ปี) โดย บสย.จะเริ่มจ่ายค่าประกันชดเชยครั้งแรกในปีที่ 2 ของการค้ำประกันและในปีถัดไปจนสิ้นสุดการค้ำประกัน การขอรับการชดเชย รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,125 ล้านบาท
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ-มีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 76,900 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท
โครงการ PGS ระยะที่ 10 ดำเนินการต่อเนื่องจากโครงการ PGS ระยะที่ 9 ซึ่งครั้งนี้ได้เพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ขนาดเล็กด้วย (SSMEs) ซึ่งผลการดำเนินงานโครงการ PGS ระยะที่ 9 สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs แล้ว 37,823 ราย และเกิดสินเชื่อจำนวน 187,494 ล้านบาท