
ครม.อนุมัติ งบฯกลางฉุกเฉิน 10,464 ล้าน อุ้มค่าไฟ 4 เดือน ตั้งแต่งวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคมนี้ “ประยุทธ์” ยัน ทันรอบบิลใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบฯกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 10,464 ล้านบาท
เพื่อช่วยเหลือค่าไฟฟ้าและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) ที่กำหนดให้ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต.ก่อน รวมทั้งเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน
สำหรับการดำเนินการมาตรการให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน สำหรับงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 ดังนี้
1.มาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกสูงขึ้นเป็นมาตรการต่อเนื่องของกระทรวงพลังงานที่ได้ดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2566 เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสถานการณ์พลังงานโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป แม้ราคาพลังงานโลกเริ่มมีการปรับตัวลดลงจากช่วงปี 2565 แต่ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง ประกอบกับแหล่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทาน ทำให้ราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าโดยรวมยังคงสูงอยู่
โดยมีแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดแบบขั้นบันไดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าในประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ สำหรับงวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2566 รวม 4 เดือน โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
ลักษณะการช่วยเหลือเป็นการ 1.ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 96.88 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ทำให้ผลต่างระหว่างค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) เรียกเก็บและส่วนลดค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และ 2.ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 71.88 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 151-300 หน่วยต่อเดือน ทำให้ผลต่างระหว่างค่าเอฟทีเรียกเก็บและส่วนลดค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 26.39 สตางค์ต่อหน่วย คาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้นประมาณ 18.36 ล้านราย วงเงินประมาณ 6,954 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิม 7,602 ล้านบาท เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีการลดค่าไฟฟ้าลง 7 สตางค์ ในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม จาก 4.77 บาทต่อหน่วย ลดลงเหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย
2.มาตรการช่วยเหลือประชาชนระยะเร่งด่วน เป็นมาตรการช่วยเหลือประชาชนในส่วนของค่าไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 โดยให้ส่วนลดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ จำนวน 150 บาทต่อราย
โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ในรอบบิลเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นเดือนที่มีสถิติความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศและจะเริ่มลดลงในเดือนมิถุนายน เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน จำนวน 23.40 ล้านราย โดยใช้งบประมาณรวมในกรอบไม่เกิน 3,510 ล้านบาท
เหตุผลความจำเป็นในการขอใช้งบประมาณ กระทรวงพลังงานได้พิจารณาสมมุติฐานการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 โดยยังคงมีอัตราค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในอัตราค่อนข้างสูง แม้ว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะพิจารณาทบทวนค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าเอฟที เพื่อให้สะท้อนสภาวการณ์ปัจจุบันแล้วก็ตาม ซึ่งใกล้เคียงกับงวดเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2566 จากเดิมที่ 4.72 บาทต่อหน่วย เป็น 4.70 บาทต่อหน่วย โดยมีค่าเอฟทีลดลงเดิมที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 91.19 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจาก 33.23 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ค่าเอฟทีลดลงเพียงเล็กน้อย แม้ว่าวิกฤตราคาพลังงานโลกจะเริ่มผ่อนคลายลง
กระทรวงพลังงานจึงเห็นสมควรที่จะคงมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ในงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 ต่อไป อีกทั้งปัจจุบันอุณหภูมิโดยเฉลี่ยหลายภูมิภาคทั่วประเทศไทยสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เกิดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งทำลายสถิติติดต่อกันหลายวัน
โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 เวลา 14.56 น. เกิดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของระบบไฟฟ้าที่ 33,384.7 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยใช้ไฟฟ้าในอัตราสูงขึ้นมาก โดยเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ประมาณร้อยละ 6 จึงเห็นควรกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนระยะเร่งด่วน เป็นมาตรการช่วยเหลือประชาชนในส่วนของค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคม 2566 จำนวน 150 บาทต่อราย เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ได้รับทราบจาก กกต.ว่า เรื่องใดที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนไม่มีปัญหา และเร็วที่สุด ซึ่งในเดือนหน้าสถานการณ์จะดีขึ้น การใช้ไฟฟ้าจะลดลง ราคาค่าแก๊ส ค่าน้ำมันจะลดลงบ้าง และมีผลในช่วงต่อไป เป็นการชดเชยกันไปกันมา