ไทยสูญ 10,479 ล้านบาท หลัง “ทรัมป์” ขึ้นภาษีเหล็ก !

ไทยโดนหางเลข หลัง “ทรัมป์” ประกาศสงครามการค้าขึ้นกำแพงภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมนำเข้าร้อยละ 25-10 กระทบส่งออกสหรัฐ-เหล็กจีนทะลักเข้าไทย ทั้งเหล็กเส้น-เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี/ดีบุก/โครเมียม “สมคิด” สั่งกระทรวงพาณิชย์หาช่องเจรจา USTR ขอยกเว้นเก็บภาษี อ้างเป็นพันธมิตรความมั่นคงร่วมสงครามเวียดนาม หวั่นมะกันขอแลกเปิดตลาดสินค้าบางรายการ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามอนุมัติการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมตามที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยสหรัฐจะจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอะลูมิเนียม 10% จะมีผลบังคับใช้ภายใน 15 วัน

มาตรการขึ้นภาษีดังกล่าวจะใช้บังคับกับทุกประเทศ “ยกเว้น” แคนาดากับเม็กซิโก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้กำลังอยู่ระหว่างการหารือเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวเข้ามาว่า สหรัฐอาจจะยกเว้นการขึ้นภาษีให้กับประเทศ “พันธมิตรของสหรัฐบางประเทศด้วย” โดยญี่ปุ่นน่าจะเป็น 1 ในประเทศที่ถูกยกเว้น แต่อาจจะต้องเจรจาข้อตกลงบางอย่างร่วมกับผู้นำสหรัฐ

ขณะที่ “ซาราห์ แซนเดอร์ส” โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า มาตรการขึ้นกำแพงภาษีนี้จะส่งผลแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศนั้น ๆ โดยจะมีการพิจารณาตามความเหมาะสมเรื่องความสมดุลทางการค้า

หวั่นสหรัฐขอแลกเปลี่ยน

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานการประชุมระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย-สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย-ผู้ผลิตส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียม เพื่อหารือถึงผลกระทบและการแก้ไขปัญหาสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ (national security) ภายใต้มาตรา 232 ผู้ของกฎหมาย Trade Expansion Act of 1962

ในระยะสั้น (1-3 เดือนข้างหน้านี้) ที่ประชุมประเมินว่า การส่งออกเหล็กยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะสินค้าเหล็กที่กำลังอยู่ระหว่างการขนส่งไปสหรัฐ เนื่องจากราคาเหล็กในสหรัฐได้ปรับตัวไปแล้วร้อยละ 30 แม้เหล็กที่ส่งออกจากประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษี “แต่ก็ยังแข่งขันได้” เพราะผู้ผลิตสหรัฐยังอยู่ระหว่างการปรับตัวและยังไม่สามารถขายเหล็กในราคาที่ต่ำลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับผู้นำเข้ายังมีความต้องการสินค้าอยู่ แต่ในระยะยาวอุตสาหกรรมเหล็กไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอน เมื่อผู้ผลิตเหล็กสหรัฐปรับตัวได้โดยเฉพาะรายการสินค้าท่อเหล็กและเหล็กแผ่นรีดเย็น

“ที่ประชุมมีทางเลือก 2 ทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ 1) ให้โรงงานผู้ผลิตเหล็ก-ผู้ส่งออกไทย ร่วมกับผู้นำเข้าเหล็กสหรัฐ อ้างถึงความเดือดร้อนที่เกิดจากการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กในรายการนั้น ๆ กับ 2) เปิดการเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เพื่อขอให้สหรัฐยกเว้นการเก็บภาษีเหล็กจากประเทศไทย แต่ประเด็นหลังนี้เชื่อว่า สหรัฐต้องขอแลกเปลี่ยน อาจจะเป็นการเปิดตลาดให้กับสินค้าส่งออกของสหรัฐเป็นบางรายการ เพราะการเจรจาขอยกเว้น ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ นอกเหนือไปจากการอ้างเรื่องความมั่นคงของสหรัฐ กับเรื่องของความเดือดร้อนของผู้ใช้เหล็กในสหรัฐเอง” แหล่งข่าวกล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยจะดำเนินการเจรจากับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เพื่อขอ “ยกเว้น” การใช้มาตรการ 232 เป็นรายพิกัดสินค้า โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะประกาศรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการในการดำเนินการขอยกเว้นเป็นรายพิกัด ภายในวันที่ 19 มีนาคม 2561 นี้ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังสามารถใช้เวทีเจรจาในการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement : TIFA) ไทย-สหรัฐ กำหนดจัดในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ เป็นเวทีหารือกับสหรัฐเพื่อยกเว้นได้ โดยสหรัฐเปิดช่องสำหรับประเทศที่มี security relationship ในการหารือเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

ส่วน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ไม่ต้องตกใจ” กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กได้รับผลกระทบ
แน่นอน อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ต้องไปช่วยหาช่องเจรจากับสหรัฐ ตั้งแต่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐดีขึ้นเป็นลำดับ และสหรัฐเข้าใจบริบทภายในของประเทศไทย

ผลพวงเหล็กจีนทะลักเข้าไทย

นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ส่งออกไทยกังวลและมีความเป็นห่วงก็คือ หลังจากมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก อาจจะมีเหล็กกลุ่มหนึ่งที่เคยส่งเข้าไปตลาดสหรัฐไหลเข้าสู่ตลาดอาเซียน (รวมทั้งประเทศไทย) มากขึ้น โดยประเทศผู้ส่งออกเหล็กไปต่างประเทศสูงสุดในแถบเอเชีย ได้แก่ เกาหลีใต้-จีน-ญี่ปุ่น ในขณะที่ประเทศไทยมูลค่าการส่งออกน้อยมาก “ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่าจับตามอง แม้ว่าประเทศดังกล่าวจะไม่ส่งออกสินค้าเหล็กมาในภูมิภาคอาเซียนมากนักก็ตาม” นายวิกรมกล่าว

ล่าสุด สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ได้ระบุไว้ในรายงานผลกระทบจากมาตรา 232 ของสหรัฐ ที่มีต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทยว่า มีกลุ่มสินค้าหลักของ 8 ประเทศผู้ส่งออกเหล็กเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐ เมื่อถูกเรียกเก็บภาษีสูงขึ้นแล้วมี “ความเสี่ยง” ที่จะส่งเหล็กรายการเหล่านี้เข้ามายังประเทศไทยแทน ได้แก่ เหล็กเส้น, เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี, เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียม เนื่องจากเหล็กรายการเหล่านี้ ประเทศไทยไม่มีการใช้มาตรการทางการค้า (AD-saveguard) ปกป้องตลาดภายใน

โดยสถาบันเหล็กฯประเมินว่า ผลกระทบทางตรงจากการขึ้นภาษี ประเทศไทยจะสูญเสียการส่งออกเหล็กไปตลาดสหรัฐ ประมาณ 383,496 ตัน มูลค่า 10,479 ล้านบาท ส่วนผลกระทบทางอ้อมกรณีเหล็กที่เข้าไปจำหน่ายในสหรัฐไม่ได้ล้นตลาดและอาจจะทะลักเข้ามายังอาเซียน รวมทั้งประเทศไทย ในส่วนนี้จะมีเหล็กล้นตลาดอยู่ประมาณ 27.03 ล้านตัน

ขณะที่ นายกรกฎ ผดุงจิตต์ รองประธานกลุ่มเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยังไม่สามารถประเมินราคาเหล็กได้ในขณะนี้ หลังจากที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า เนื่องจากในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560-มีนาคม 2561 จีนหยุดการผลิตไป ทำให้มีการอั้นปริมาณเหล็กจำนวนมาก และในเดือนเมษายนนี้ การผลิตเหล็กในจีนจะเริ่มกลับมา ทำให้ปริมาณเหล็กล้นจนต้องส่งออกทะลักเข้ามาไทยแน่นอน คาดการณ์ประมาณ 100 ล้านตัน ส่งผลต่อการ dump ราคาที่จะลดลง แต่ประเมินไม่ได้ว่าจะมากขนาดไหน

นายธีรยุทธ เลิศศิรรังสรรค์ นายกสมาคมการค้าเหล็กลวดไทย กล่าวว่า การเจรจากับสหรัฐเพื่อขอยกเว้นการเก็บภาษีจะอยู่ภายใต้ 2 เงื่อนไข คือ 1) ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่เคยร่วมปกป้องความมั่นคงร่วมกับสหรัฐ ในสมัยสงครามเวียดนาม กับ 2) ไทยเป็นธุรกิจที่ยังสร้างผลประโยชน์ให้กับบริษัทของสหรัฐอยู่