ดัชนี MPI ครึ่งปี 2566 ลบ 3.2% สศอ.ปรับลดประมาณการทั้งปีลบ 2.8-3.8%

วรวรรณ ชิตอรุณ
วรวรรณ ชิตอรุณ

เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัจจัยลบกระหน่ำ สศอ.ปรับลดประมาณการดัชนี MPI 2566 หด 2.8-3.8% ฉุด GDP อุตสาหกรรมปี 2566 หด 1.5-2.5%

วันที่ 31 สิงหาคม 2566 นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ปรับประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปี 2566 คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 2.8-3.8 ส่วนอัตราการขยายตัว (GDP) ของภาคอุตสาหกรรม คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 1.5-2.5 หลังจาก 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ดัชนีเอ็มพีไอหดตัวร้อยละ 4.54 และจีดีพีภาคอุตสาหกรรมครึ่งปีแรกหดตัวร้อยละ 3.2

“ปีนี้มีปัจจัยกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง อีกทั้งปัญหาภาคการเงินของประเทศต่าง ๆ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงสูง ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ และภาระหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง”

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวดี การลงทุนในประเทศ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐมีทิศทางขยายตัวเพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และมีความชัดเจนทางการเมือง

ส่วนดัชนี MPI เดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 91.14 ลดลงร้อยละ 4.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 95.36 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 58.19 เป็นผลจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงลดลง หลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากกำลังซื้อในตลาดโลกลดลง ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก

รวมถึงรายได้เกษตรกรในเดือนมิถุนายน 2566 ยังคงหดตัวร้อยละ 1.1 เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนกำลังซื้อจากภาคเกษตรที่ยังคงลดลง การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยาน) มีมูลค่าอยู่ที่ 16,969.70 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.3

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลให้ปริมาณฝนของประเทศไทยมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าปกติ และมีผลต่อผู้ประกอบการกลางน้ำถึงปลายน้ำของไทย อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในประเทศยังคงขับเคลื่อนได้จากภาคการท่องเที่ยวที่ช่วยพยุงการบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศ หลังจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7

โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตในเดือนกรกฎาคม 2566 คือ รถยนต์ ขยายตัวร้อยละ 5.34 ตามการขยายตัวของการส่งออกรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดส่งออกมีการเพิ่มขึ้นในแถบตลาดเอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป และอเมริกากลางและใต้ ขณะที่การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ลดลงร้อยละ 8.8 เนื่องจากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินมีการเข้มงวดในการให้สินเชื่อมากขึ้น รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลต่ออุปสงค์ในประเทศ

การกลั่นน้ำมัน ขยายตัวร้อยละ 4.99 จากน้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม และแก๊สโซฮอล์ 91 ตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ด้านเหล็กและเหล็กกล้า ขยายตัวร้อยละ 7.11 จากเหล็กแผ่นรีดร้อน ท่อเหล็กกล้า เหล็กรูปพรรณรีดร้อน และเหล็กเส้นกลม โดยปรับตัวเป็นบวกเป็นเดือนแรกในรอบ 19 เดือน หลังราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกับปริมาณเหล็กนำเข้าลดจำนวนลง

ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.34 จากรถยนต์นั่งขนาดกลาง ขนาดเล็ก และเครื่องยนต์แก๊สโซลีน เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดอเมริกาเหนือที่ลดลง

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.99 จากน้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม และแก๊สโซฮอล์ 91 เป็นหลัก ตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง

เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.11 จากเหล็กแผ่นรีดร้อน ท่อเหล็กกล้า เหล็กรูปพรรณรีดร้อน และเหล็กเส้นกลม เป็นหลัก ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน หลังจากผู้รับซื้อเหล็กภายในประเทศลดการนำเข้าเหล็ก และใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศแทน

น้ำตาล ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.40 จากน้ำตาลทรายขาว และขาวบริสุทธิ์ตามความต้องการบริโภคที่มีมากขึ้นจากทั้งภาคครัวเรือนและภาคการท่องเที่ยว

เครื่องปรุงอาหารประจำโต๊ะ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.09 จากซอสพริก และผงชูรส เป็นหลัก โดยขยายตัวจากตลาดส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก รวมถึงความต้องการในประเทศหลังการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง