
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ล้วนมีผลกระทบต่อพืชเกษตรและผลผลิตโดยตรง หรือแม้กระทั่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นทั้งวิกฤตและโอกาสในคราวเดียวกัน ดังนั้น เกษตรกรจึงต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและตามเทรนด์ของตลาด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” จึงเป็นแผนการรับมือให้กับความผันแปรของโลก พร้อมทั้งการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งรัฐบาลต้องช่วยสนับสนุนและแก้ไขปัญหาเพื่อผลักดันให้เกษตรกรไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา “อนาคตเกษตรไทยในยุคดิจิทัล” ซึ่งจัดโดย เทคโนโลยีชาวบ้าน เครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ว่า จะนำเรื่องตลาดนำและนวัตกรรมเสริม เข้ามาช่วยให้เกษตรกรไทยโดยรัฐบาลจะต้องสนับสนุน ผ่านการแก้ไขและปรับปรุงกฎระเบียบที่มีความซับซ้อนและล่าช้า พร้อมสร้างฐานข้อมูลความรู้ด้านการเกษตรให้เป็นสาธารณะ
ตลอดจนวิเคราะห์เทรนด์ตลาด เพื่อเปลี่ยนการผลิตให้เข้ากับความต้องการของตลาดโลก “สินค้าออร์แกนิก” และ “เกษตรอินทรีย์” โดยนำร่อง “หนองบัวลำภูโมเดล” ให้เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ พร้อมยกระดับสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเสวนาเรื่อง “สินค้าเกษตรแบบไหน ที่ตลาดต้องการ”
ตลาดสี่มุมเมืองปรับตัว
นายอภิวัฒน์ สุขพันธ์ ผู้อำนวยการสายงานบริหาร ตลาดสี่มุมเมือง กล่าวว่า เราไม่ตกขบวนเรื่องออนไลน์แน่นอน เพราะได้สนับสนุนให้ร้านค้าในตลาดเรา ประมาณ 4,000 แผงร้านค้า ขึ้นขายสินค้าบนออนไลน์ควบคู่กับออฟไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าย้อนหลังได้ จากช่วงแรกที่มียอดขายออนไลน์เพียง 20 รายการ ปัจจุบันเพิ่มเป็น 1,000 รายการ ทำให้เป็นอีกช่องทางที่สร้างรายได้ให้พ่อค้าแม่ค้า
“ในแต่ละวันจะมีสินค้าเกษตรผลิตออกมาประมาณ 40,000 ตัน ตลาดสี่มุมเมืองถือเป็นกลางน้ำที่มีสินค้าเกษตรเข้ามาประมาณวันละ 8,000 ตัน ซึ่งคิดเป็น 20% ของห่วงโซ่อุปทาน ทำให้มีการซื้อขายในแต่ละวันประมาณ 350 ล้านบาทต่อวัน หรือราว 1 แสนล้านบาทต่อปี เกษตรกรมั่นใจได้แน่นอนว่าขายของหมด แต่สินค้านั้นต้องได้มาตรฐาน เราเองยังทำโค้ดราคาสินค้าขึ้นเพื่อให้ลูกค้าได้เช็กราคาผ่านช่องทางออนไลน์ และยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทำให้เห็นแนวโน้มราคา ตอบโจทย์ความต้องการให้ทุกฝ่าย”
ทั้งนี้ ตลาดสี่มุมเมืองมีการทำตลาด 2 รูปแบบ รูปแบบแรกเป็นตลาดทั่วไป และอีกรูปแบบเป็นอาคารรถผักที่ให้เกษตรกรที่มีผลผลิตสามารถขนขึ้นรถและนำมาขายได้ด้วยตนเอง โดยบรรจุตามขนาดที่เรากำหนด ซึ่งแต่ละวันจะมีทั้งหมด 11 รอบตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ตลาดสี่มุมเมืองมีความหลากหลายทั้งสินค้าและผู้บริโภคที่เข้ามาซื้อ
การทำตลาดแบบเครือข่าย
นางสาววรรณพร บัณฑิตภูวนนท์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาสหกรณ์การเกษตร 2 กรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า เราขับเคลื่อนการแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด โดยการทำตลาดแบบเครือข่ายที่ผสมผสานรูปแบบออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกัน และการแก้ไขปัญหาโดยการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตร เมื่อผลผลิตล้นตลาด ตลาดขาดประสิทธิภาพ หรือแม้แต่โควิด-19 ส่งผลให้ราคาผลไม้ตกต่ำจนต้องใช้กลไกพยุงราคาช่วย หรือการรับซื้อกันเองระหว่างสหกรณ์
แต่การแก้ปัญหาแบบนี้ไม่ยั่งยืน จึงต้องบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยให้สหกรณ์เป็นแหล่งรวบรวมและกระจายปริมาณผลผลิตในประเทศกระจายไปตามช่องทางต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ สหกรณ์จะมีบทบาทเป็นผู้ค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งสิ่งสำคัญคือคุณภาพที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคหรือตลาดให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปัญหาของสหกรณ์ที่ว่า สินค้ามาจากหลากหลายแหล่ง คุณภาพแตกต่างกัน ทำให้บางครั้งสินค้าที่ไม่ได้ตามมาตรฐานหรือตกเกรดล้น
“ทว่าก็ยังมีปัจจัยที่ต้องแก้ไข คือ ความต่อเนื่องของสินค้าที่จะส่งให้กับผู้บริโภค รวมถึงอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือเรื่องของเวลาเงื่อนไขของการชำระเงิน ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะถ้าใครที่รับเงื่อนไขทางการเงินได้ก็สามารถตอบโจทย์ทางตลาดได้ และสุดท้ายคือ การรับประกันสินค้า ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของทั้งตลาดค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราทำและประสบความสำเร็จแล้ว ตอนนี้คือเรื่องของแพ็กเกจจิ้ง เพราะผู้บริโภคมีความต้องการในปริมาณที่แตกต่างกัน อย่างการบริโภคในครัวเรือน หรือภาคอุตสาหกรรมก็จะแตกต่างกัน ซึ่งตอนนี้สถาบันเกษตรกรและสหกรณ์กำลังดำเนินการออกแบบแพ็กเกจจิ้งตามที่ตลาดต้องการ รวมถึงเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์และการการันตีสินค้า
“ผลผลิตที่ประสบความสำเร็จคือ ทุเรียนศรีสะเกษ ที่เมื่อก่อนย่ำแย่มาก ขาดทุนเพราะว่าเกษตรกรไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องของคุณภาพ ทำให้เขาต้องมีการรับประกันสินค้าที่เสียไปจนขาดทุน แต่ปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงจนปัจจุบันมีการส่งคืนสินค้ากลับน้อยมาก ทำให้เกษตรกรต้องหาคำตอบให้ได้ว่า ต้องการพัฒนาสินค้าอะไร เราเป็นกลุ่มใด และมีวัตถุประสงค์แบบไหน”
มาตรฐานเกษตรยุคดิจิทัล
นางสาวกุลพิพิทย์ จันทร์บวย ผู้อำนวยการกองส่งเสริมมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นในเรื่องของมาตรฐานสินค้า เครื่องหมายรับรองโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม สังคม ความยั่งยืน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่การันตีว่าสินค้านั้นได้คุณภาพ เช่น ออร์แกนิก ไทยแลนด์ สามารถติดตามตรวจสอบย้อนกลับได้ ดังนั้นมาตรฐานมีความสำคัญกับทุกคน เพื่อมั่นใจในการเลือกใช้สินค้าทั้งตลาดออฟไลน์และออนไลน์
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยเองให้ความสำคัญและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง อาทิ กุ้งทะเลยั่งยืน ปาล์มยั่งยืน และข้าวยั่งยืน ล้วนเป็นการใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เข้ามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ที่เน้นความปลอดภัยตั้งแต่ฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้ได้สินค้าที่มีประสิทธิภาพ
“ต้องถามตัวเองว่าอยากซื้อสินค้าประเภทไหนให้กับตัวเอง ตลาดต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ ไม่เน่าเสีย เน้นเรื่องความปลอดภัย ความยั่งยืน ความมั่นคง และคุณภาพ การจะได้สินค้าที่มีคุณภาพออกมา เกิดจากการที่เราใส่ใจดูแลสินค้าให้มีคุณค่า มีประโยชน์ และคงอัตลักษณ์พื้นถิ่นซึ่งหาที่ไหนไม่ได้ ถ้าเรารักษาความเป็นอัตลักษณ์บวกความปลอดภัยและคุณภาพจะทำให้ไทยมั่นคงและยั่งยืน”