BGRIM กางแผน 5 ปี ลงทุน 6 ธุรกิจ 4.1 แสนล้าน ปั๊มรายได้ 1.5 แสนล้าน ฉลอง 150 ปี

นพเดช กรรณสูต
นพเดช กรรณสูต

BGRIM กางแผน 5 ปี ลงทุน 6 ธุรกิจ 4.1 แสนล้าน ปั๊มรายได้ 1.5 แสนล้าน ฉลอง 150 ปี เปิดไฮไลต์ปี 2567 พระเอกธุรกิจไฟฟ้า PPA อีก 800 MW วางงบฯลงทุน 1-1.5 หมื่นล้าน แย้มศึกษาขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศสหรัฐ พร้อมเล็งนำเข้าก๊าซ LNG ได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ พร้อมปัดฝุ่น “ธุรกิจยา” ดันขึ้นเบอร์ 1

วันที่ 30 มกราคม 2567 นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืนและสายงานธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซีย บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เพิ่มขึ้นราว 600-800 เมกะวัตต์ (MW) ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างใหม่ (Greenfield) และบางส่วนเป็นการเข้าลงทุนในโครงการที่มีอยู่แล้ว (M&A)

ในภาพจากซ้ายไปขวา : 1.คุณกิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บี.กริม ฟาร์มา 2.คุณกิตติ พัฒนลีนะกุล ประธานกลุ่มธุรกิจ บี.กริม อุตสาหกรรม 3.คุณนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืนและสายงานธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซีย 4.คุณศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี 5.คุณศลยา ณ สงขลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และความยั่งยืนองค์กร

โดยบริษัทได้เตรียมงบฯลงทุนในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าไว้ที่ในปีนี้ประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างตามแผน ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 4,623 MW

“ทิศทางผลประกอบการในปี 2567 บริษัทคาดรายได้จะปรับตัวลงจากปีก่อน ตามผลกระทบด้านต้นทุนราคาก๊าซที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปีนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ไม่มากนัก หรือราว 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งหลัก ๆ จะมาจากโครงการโซลาร์รูฟท็อป, โซลาร์ลอยน้ำ และโครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ซึ่งยังอยู่ระหว่างศึกษาขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐ ประเภทไฮบริดทั้งโซลาร์และไฮโดร โดยเริ่มแรกจะเข้าไปลงทุนในรูปแบบแพลตฟอร์มในโครงการขนาดเล็กก่อน และมีแผนจะค่อย ๆ ขยายโครงการขนาดใหญ่มากขึ้นในอนาคต”

ADVERTISMENT

ส่วนแผนการนำเข้าก๊าซ LNG อยู่ระหว่างเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อทำสัญญาระยะยาว คาดหวังจะสามารถนำเข้าได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ปริมาณ 4-5 คาร์โก คาร์โกละประมาณ 5-7 หมื่นตัน โดยแหล่งนำเข้าอาจจะเป็นทั้งสหรัฐ แอฟริกา หรือแหล่งที่เจรจาแล้วได้ระดับราคาที่เหมาะสม สำหรับนำมารองรับการใช้ของโรงไฟฟ้าของ BGRIM จำนวน 23 แห่งก่อน อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอให้ ปตท.เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ (Pool Manager) สรุปเงื่อนไขในการนำเข้าอีกครั้ง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก

บี.กริม เปิดแผนลงทุน 5 ปี

บริษัทวางงบฯลงทุน 5 ปี (ปี 2567-2571) ไว้ประมาณ 410,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน บี.กริม ขยายธุรกิจสู่ 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจด้านพลังงาน 2.ธุรกิจอุตสาหกรรม 3.ธุรกิจสุขภาพ 4.ธุรกิจเทคโนโลยีดิจิตัล 5.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ เป็นตัวแทนสินค้าแฟชั่นหลายกลุ่ม และ 6.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มรายได้ภาพรวมสู่ 1.5 แสนล้านบาทในปีที่ครบ 150 ปีของ BGRIM โดยสัดส่วนรายได้จะแบ่งเป็น บี.กริม.พาวเวอร์ 70% ธุรกิจ บี.กริม อุตสาหกรรม 25% และ บี.กริม ฟาร์มา อีก 5%

สำหรับยุทธศาสตร์ระยะยาว “GreenLeap-Global and Green” มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% ในปี 2573 โดยจะขยายการลงทุนสู่กำลังการผลิต 10,000 MW จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาในปี 2573

บี.กริม ฟาร์มา

ภก.กิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ธุรกิจยาภายใต้แบรนด์ บี.กริม ฟาร์มาเป็นหนึ่งในธุรกิจที่บริษัทหวนกลับมาให้ความสำคัญอีกครั้ง หลังจากที่ดำเนินการมาครั้งแรกเมื่อ 145 ปีก่อน หรือในปี 2421 โดยในปีนี้จะผลักดันไปสู่ธุรกิจในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ได้แก่ ยาและเวชภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน 4 กลุ่ม

ได้แก่ 1.กลุ่มยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด 2.กลุ่มยารักษาโรคระบบประสาทและจิตเวช 3.กลุ่มยารักษาโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ 4.กลุ่มยารักษาโรคระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เวชสำอาง และเครื่องมือแพทย์ มีเป้าหมายขยับขึ้นครองส่วนแบ่งยอดขายอันดับ 1 ของประเทศ ในปี 2573 ช่วยประชาชนเข้าถึงยาได้ 4.5 ล้านคน

บี.กริม อุตสาหกรรม ปี 2566 โต 14%

นายกิตติ พัฒนลีนะกุล ประธานกลุ่มธุรกิจ บี.กริม อุตสาหกรรม กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 มีรายได้เติบโตขึ้น 14% สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมอุตสาหกรรมอื่นซึ่งเติบโตน้อยกว่า สำหรับธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้แก่ ระบบปรับอากาศแคเรียร์ ที่ขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจระบบปรับอากาศในประเทศไทย จากการเดินหน้าสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนจากพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย

รวมถึงการเปิดตัวนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัยที่สามารถเชื่อมต่อระบบ IOT ระบบปรับอากาศแบบ VRF สำหรับอาคาร หรือระบบบริการหลังการขายที่สามารถแจ้งการทำงานผิดปกติได้โดยอัตโนมัติ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังขยายธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จากกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตมากขึ้น โดยในปี 2566 บี.กริม ได้ติดตั้ง 70 หัวชาร์จ ให้กับผู้ประกอบการหลากหลาย ปีนี้ได้เน้นขยายธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แพลตฟอร์มของ บี.กริมเอง

และมีแผนขยายธุรกิจไปสู่การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แบบ EPC ซึ่งเป็นการให้บริการติดตั้งแบบเบ็ดเสร็จ (Turn-key) ตั้งแต่การออกแบบ ติดตั้ง ขออนุญาต จนจบกระบวนการ และมีการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อสุขภาพที่ดีแก่ผู้ใช้อาคาร หรือ Healthy Living Solution ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีระบบไฟ UV-C ยับยั้งเชื้อโรคในระบบปรับอากาศ ติดตั้งในห้างสรรพสินค้าเครือเซ็นทรัลแล้วกว่า 6 แห่ง และมีแผนขยายไปยังสถานที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในระยะยาวถึง 3 เท่าภายในปี 2573