ราคาน้ำมันดิบโลกต่ำสุดในรอบ 6 เดือน วิกฤตทะเลแดง-อสังหาฯจีน ทุบเศรษฐกิจซึม

สนพ. เผยราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเดือน ธ.ค. 2566 ปรับตัวลดลงในรอบ 6 เดือนของปี 2566 เหตุจากความต้องการใช้พลังงานที่ซบเซาในสหรัฐอเมริกาและจีน เฝ้าจับตาวิกฤตทะเลแดง-อสังหาริทมทรัพย์ในจีน

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ. ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกในเดือนธันวาคม 2566 พบว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน

โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันดิบปรับลดสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์พลังงานที่ซบเซาในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งนักลงทุนคาดว่าการปรับลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 ของกลุ่มโอเปกพลัส อาจไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่รัสเซียเพิ่มขึ้นหลังสภาพอากาศปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ได้เปิดเผยถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอยู่ที่ระดับกว่า 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

อีกทั้งสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ของจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ปรับลดลงร้อยละ 0.5 และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับลดลงร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเงินฝืดที่รุนแรงขึ้น และความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

จับตามองปัจจัยกระทบราคาน้ำมันดิบโลก

นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่น่าจับตามองในด้านต่าง ๆ อาทิ ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ความไม่แน่นอนในทะเลแดง ภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ภายหลังกองกำลังฮูตี (Houthi) โจมตีเรือบรรทุกสินค้าทุกลำที่มุ่งหน้ามายังอิสราเอลผ่านทะเลแดง ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลถึงผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป

เนื่องจากบริษัทรายใหญ่ ได้แก่ BP, MSC และ Maersk ปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งน้ำมันผ่านทะเลแดงไปเป็นเส้นทางผ่านแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งจะใช้เวลานานมากขึ้นกว่า 10 วัน ทำให้ค่าขนส่งเรือ Suezmax สูงขึ้นร้อยละ 29 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบยังถือว่าอยู่ในพื้นที่จำกัด ซึ่งสหรัฐฯ และหลายประเทศได้ร่วมกันจัดตั้งปฏิบัติการเพื่อปกป้องการค้าในทะเลแดง และบริเวณอ่าวเอเดนเพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากนี้ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีน หลังบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน มูดีส์ (Moody’s) ปรับลดความน่าเชื่อถือจากทรงตัวเป็นเชิงลบ เนื่องจากความกังวลทิศทางเศรษฐกิจและวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน โดยสัดส่วนเงินกู้จีนต่อ GDP อยู่ที่ระดับร้อยละ 303 ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2567-2568 จะเติบโตที่ระดับร้อยละ 4 และการเติบโตมีแนวโน้มหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.8 ในปี 2569-2570

ขายปลีกเบนซิน-ดีเซล อันดับ 5 และ 7 ในอาเซียน

นายวีรพัฒน์กล่าวว่า สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลของประเทศไทยและต่างประเทศ ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2566 พบว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ประเทศสิงคโปร์มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 73.38 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 35.55 บาทต่อลิตร

ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลนั้น ประเทศสิงคโปร์ มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 68.41 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 7 ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 29.94 บาทต่อลิตร

ที่มา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)

อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง มาตรการด้านภาษี และนโยบายการชดเชยราคาน้ำมันของประเทศนั้น

ทั้งนี้ สนพ. จะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อสามารถบรรเทาผลกระทบด้านราคาพลังงานต่อประชาชนในระยะต่อไป