คิกออฟทำหมูหัน 4.5 แสนตัว 3 เดือน  ดีเดย์  11 มี.ค.67 หวังดันหมูหน้าฟาร์ม

หมูหัน

กรมปศุสัตว์ ถก 20 ฟาร์มสุกรรายใหญ่ มีฉันทามติร่วมเดินหน้าโครงการหมูหัน ลดกำลังการผลิตสุกร 450,000 ตัวระยะเวลา 90 วัน เริ่มวันที่ 11 มีนาคม 2567  หวังผลักดันราคาสุกรขุนให้สูงกว่าต้นทุนเพื่อช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกรทั้งระบบ

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567  นายสัตวแพทย์ณรงค์ เลี้ยงเจริญ ผู้อำนวยการสำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ เป็นประธานการประชุม โดยมีผู้แทนจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และ ผู้ประกอบการฟาร์มสุกรขนาดใหญ่เข้าร่วม ซึ่งเป็นการประชุมต่อเนื่องเพื่อที่จะกำหนดวันในการเริ่มโครงการหมูหัน

สำหรับจำนวนลูกหมูที่จะตัดวงจรลดการผลิตในช่วง 90 วัน มีทั้งสิ้นจำนวน 450,000 ตัว หรือเฉลี่ย 5,000 ตัวต่อวัน ซึ่งจะเป็นการลดจำนวนสุกรเขาเชือดในแต่ละวัน ที่ปัจจุบันมีเฉลี่ยอยู่ที่ 55,000 ตัวต่อวัน โดยการลดปริมาณผลผลิตดังกล่าวจะทำให้มีส่วนผลักดันให้ราคาสุกรขุนในประเทศปรับตัวขึ้นเกินกว่าต้นทุน ซึ่งเกษตรกรทั้งประเทศประสบสภาวะขาดทุนมาร่วม 1 ปีด้วยกัน

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้กล่าวว่าโครงการดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของฟาร์มสุกรทั้งประเทศ โดยมีหลักการว่า สำหรับฟาร์มที่มี แม่หมู 2,000 แม่ จะดึงหมู 10% หรือ ประมาณ 200 ตัวออกมาทำหมูหัน เพื่อดึงหมูออกจากระบบ ซึ่งในช่วงแรก จะเก็บในห้องเย็นก่อน จากนั้นจะเริ่มย่าง แล้วจัดจำหน่ายต่อไป

“มั่นใจว่าโครงการนี้ จะผลักดันให้ราคาสุกรขุนปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับเหนือกว่าต้นทุนที่ 80 บาทต่อกิโลกรัมได้ ”

Advertisment

ทั้งนี้ การตกต่ำลงของราคาสุกรส่งผลอย่างมากทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเห็นได้ชัดในช่วงไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)เติบโตเพียงแค่ 1.5% และ 1.7% ตามลำดับ เทียบกับไตรมาสที่ 3

และไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เห็นได้ชัดว่าสินค้าสุกรเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเพราะเป็นตัวตั้งต้นในธุรกิจอาหาร และการจับจ่ายของประชาชนถึงแม้ไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 GDP จะโตเพียงแค่ 1.7% แต่การบริโภคภาคเอกชนเติบโตถึง 7.4% แสดงให้เห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนอยู่ในระดับที่สูงมาก รองจากปริมาณการส่งออกด้านบริการ GDP ภาคเกษตรลดลงที่ -0.8%

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาสินค้าปศุสัตว์โดยเฉพาะเนื้อสุกรลดลง ซึ่งสวนทางกับการเติบโตด้านการบริโภคของภาคเอกชนจึงสะท้อนให้เห็นว่าราคาสุกรปัจจุบันไม่ใช่เป็นปัญหาที่จะส่งผลกระทบในเรื่องของการบริโภคภาคเอกชนแต่อย่างใด

Advertisment

โดยการบริโภคภาคเอกชนเมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ก็บวกถึง 8.1% อยู่ในระดับสูงเช่นกัน จึงเป็นข้อสังเกตได้ว่าสินค้าภาคปศุสัตว์สามารถไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการบริโภคภาคเอกชนและธุรกิจด้านอาหาร จึงจำเป็นอย่างมากที่รัฐบาลควรจะกำกับดูแลสินค้าภาคปศุสัตว์โดยเฉพาะสุกรอย่างใกล้ชิด  ไม่ให้ต้องประสบกับชะตากรรมเช่นเดียวกับในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

ราคาหมูตกต่ำในประเทศจีนก็สร้างปัญหาให้กับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะจะเกิดปัญหากับผู้ประกอบการฟาร์มสุกร เช่นเดียวกับประเทศไทยใน  ขณะที่ผู้บริโภคที่ชอบหยิบยกกันมาอ้างก็ไม่ได้บริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของสุกรในราคาถูกแต่ประการใด  สังเกตได้จากตัวเลขการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชน   จึงถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องมีความเป็นมืออาชีพสูงขึ้น ในเรื่องของการนำพารามิเตอร์และตัวเลขที่เป็นองค์ประกอบจริงในปัจจุบัน  มาประกอบการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย  อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

นายสิทธิพันธ์ได้กล่าวถึงตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนของไทย ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นปัญหาทางโครงสร้าง  การเข้าถึงระบบเศรษฐกิจ  ถึงแม้ตัวเลขสิ้นปี 2566 ยังไม่มีสรุปแต่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 16.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90-91% ต่อ GDP ถึงแม้ตัวเลขเมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 15.9 ล้านล้านบาทหรือ 91.4% ต่อ GDP

แต่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของประเทศไทยยังคงมีอยู่สูง การเข้าถึงอาชีพของเกษตรกรและพลเมืองไทยต่ำลงเรื่อย ๆ ที่เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบ เพราะ GDP ไปกระจุกในมือระดับบน แต่ตัวเลขหนี้สินภาคครัวเรือนจะอยู่ที่ฐานปิรามิด ซึ่งเทียบจำนวนที่เพิ่มขึ้น ปี 2565 กับ 2566 หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่ม 600,000 ล้านบาท

ถ้าวิเคราะห์ GDP ที่เป็นของฐานปิรามิด สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนตามฐานพลเมืองที่เป็นหนี้จริง กับ GDP ของฐาน มันน่าจะเกิน 100% ไปนานแล้ว กำลังซื้อระดับพลเมืองจึงเหือดหายไปเรื่อยๆ เป็นไปตามที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์เสมอว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของพลเมืองในระบบเศรษฐกิจที่จะต้องปรับปรุง

ในที่ประชุมมีข้อเสนอจากบรรดาฟาร์มครบวงจรที่จะพร้อมใจกันจะเสริมด้วยการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรลงด้วย เพื่อที่จะควบคุมปริมาณผลผลิตไม่ให้ออกสู่ตลาดมาก  จนสร้างผลกระทบต่อราคาเช่นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นมาตรการเสริมหลังจากที่นำหน้าด้วยโครงการหมูหัน