พาณิชย์ร่วมแรงงาน ไฟเขียวใช้กองทุน 2 พันล้าน ค้ำสินเชื่อซื้อแฟรนไชส์สร้างอาชีพ

นภินทร รมช.พาณิชย์ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย หารือร่วมกับธนาคารอิสลามฯ ธนาคาร SME D Bank ธนาคารออมสิน และสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ผุดโปรเจ็กต์ใหม่ “พาณิชย์ร่วมแรงงาน” ใช้กองทุนประกันสังคม ค้ำเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ใช้แฟรนไชส์สร้างอาชีพให้ ครอบครัวแรงงาน ม.33 ที่ขึ้นทะเบียน พร้อม kickoff “มหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย” ใน มิ.ย. คาดสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 140 ล้านบาท

วันที่ 11 เมษายน 2567 นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการ ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย ครั้งที่ 3-2/2567 ร่วมกับธนาคารอิสลามฯ ธนาคาร SME D Bank ธนาคารออมสิน และสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ว่า ที่ประชุมประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมจัดงาน มหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย ที่กำหนดจัดช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2567 รวมไปถึงแผนกำหนดมาตรการส่งเสริมและแก้ปัญหา SMEs

สำหรับการหารือกับสถาบันการเงิน ในการผลักดันการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษให้กับแรงงานไทยและครอบครัวที่จ่ายเงินประกันสังคม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ผ่านธุรกิจแฟรนไชส์ ให้โอกาสคนตัวเล็ก ที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้น

สำหรับวงเงินที่จะนำมาค้ำประกันเงินกู้ในการส่งเสริมอาชีพ จะนำเงินจากกองทุนประกันสังคมประมาณ 2,000 ล้านบาทเพื่อค้ำประกันเงิน และ  3 สถาบันการเงินจะเป็นผู้พิจารณาในการปล่อยกู้ให้เอสเอ็มอีในดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อนำไปส่งเสริมอาชีพ โดยผู้ที่กู้จะอยู่ในกลุ่ม ม.33 ส่วนกลุ่มอื่นก็อาจจะเข้าไปใช้ในโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมด้านอาชีพต่อไป

นายนภินทร ศรีสรรพางค์

จัดกิจกรรมมหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย

1.มาตรการแรกการจัดกิจกรรมมหกรรมรวมพลัง SMEs ไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน

ADVERTISMENT

เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศ และช่วยขยายตลาดให้ผู้ประกอบการ SMEs กำหนดจัดกิจกรรมช่วงปลายมิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การแสดงสินค้าชั้นนำในกรุงเทพมหานคร กิจกรรมหลักภายในงานประกอบไปด้วย 7 โซน

1) โซนให้ความรู้ผ่านการสัมมนาหัวข้อที่ SMEs จำเป็นต้องรู้เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น กฎระเบียบด้านการค้าระหว่างประเทศ สิทธิประโยชน์ FTA และแนวทางการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

ADVERTISMENT

2) โซนแสดงและจำหน่ายสินค้าและบริการของ SMEs เช่น ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจอาหาร ผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นต้น

3) โซนเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจและหน่วยงานพันธมิตร

4) โซนพื้นที่การค้าราคาพิเศษ เช่น พื้นที่ในตลาดชุมชน สถานีบริการน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า

5) โซนการให้สินเชื่ออัตราพิเศษจากสถาบันการเงินเพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

6) โซนแสดงเทคโนโลยีและบริการด้านดิจิทัล (Digital Business Solution)

และ 7) โซนจัดแสดงนิทรรศการและพื้นที่สำหรับหน่วยงานพันธมิตรที่เข้าร่วม ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 10,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 140 ล้านบาท

มาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอี 9 เรื่อง

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานตาม Roadmap การส่งเสริมและแก้ปัญหา SMEs ได้แก่

1) บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความรู้ให้ SMEs โดยเพิ่มหลักสูตรการทำธุรกิจ Homestay ในหลักสูตร DBD Academy ทางระบบการเรียนการสอนผ่านสื่อออนไลน์ (e-Learning) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผ่านทางเว็บไซต์ https://dbdacademy.dbd.go.th

2) สร้างอาชีพผ่านระบบแฟรนไชส์ ได้มีการเจรจากับห้างค้าปลีกชั้นนำ ห้างสรรพสินค้า สถานีบริการน้ำมัน ได้แก่ เชลล์ บางจาก โออาร์ และพีที รวมถึงตลาดนัดชุมชน อาทิ ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดเยสบางพลี เพื่อนำเสนอพื้นที่ทำเลทองให้กับผู้ประกอบการทั้งใน กทม. และภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศได้นำสินค้ามาขายผ่านช่องทางดังกล่าว โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนพร้อมกับได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี

3) เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ ร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ออกแบบและวางแผนการดำเนินงานของคณะทำงานเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ

4) เพิ่มมูลค่าสินค้า GI ให้เป็นที่รู้จัก กระทรวงมีแผนจะดำเนินการรับขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เพิ่มขึ้นอีก 20 รายการ จาก 15 จังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 9 รายการ

5) การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเพื่อรักษาสมดุลราคา โดยได้เจรจาเชื่อมโยงซื้อขายสินค้าเกษตร ผ่านการจัดทำเกษตรพันธสัญญาไปแล้ว ได้แก่ พืชสามหัว (หอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม) ปริมาณ 30,175 ตัน มูลค่า 407.3 ลบ. และผลไม้ 17 สินค้า ปริมาณ 80,867.5 ตัน เช่น มะม่วง สับปะรด ส้ม เป็นต้นมูลค่า 3,234.7 ลบ.

6) พัฒนาร้านค้าโชห่วยด้วยระบบการค้าสมัยใหม่ เสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาให้เป็นสมาร์ทโชห่วยด้วยการปรับภาพลักษณ์ร้านค้าส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี POS มาช่วยจัดเก็บข้อมูลการขาย และบริหารคลังสินค้า พร้อมร่วมมือกับพันธมิตร อาทิ ShopChamp, Makro, TikTok และ Shopee ในการส่งเสริมผู้ประกอบการ

7) ส่งเสริมการเติบโต SMEs ในท้องถิ่นผ่าน THAI SME-GP โดยการศึกษาวิจัยเพื่อเพิ่มการเข้าใช้สิทธิมาตรการ THAI SME-GP ให้มากยิ่งขึ้น

8) สนับสนุนและสร้างมาตรฐานธุรกิจ e-Commerce โดยการพัฒนาและส่งเสริม SMEs ผ่าน Thaitrade.com

9) การส่งเสริม/พัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ผ่านการผลักดันภาษี CARAT TAX รวมถึงส่งเสริมมาตรฐานธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์เร่งเดินหน้าและผลักดันการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ให้มีศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง