ส่องแนวโน้มส่งออก หลังประมูลข้าวเก่า 10 ปี

old rice

ปิดฉากไปแล้วสำหรับการประมูล ข้าวสาร 10 ปี จากโครงการรับจำนำของรัฐบาล 15,000 ตัน เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเอกชนที่ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมยื่นซองเสนอราคาทั้งหมด 6 ราย จากที่ผ่านคุณสมบัติรอบแรก 7 ราย

ซึ่งปรากฏว่า “บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง” จังหวัดกำแพงเพชร คว้าชัยชนะไป จากการเสนอราคาที่ 64,010,216.32 บาท คิดเป็นราคาต่อตันสูงสุด 19,070 บาท/ตัน ทั้ง 2 คลัง ได้แก่ คลังสินค้ากิตติชัยหลัง 2 และที่คลังสินค้า บจก.พูลผลเทรดดิ้ง หลัง 4 โดยหากเปรียบเทียบราคาประมูลครั้งนี้กับราคาประมูลครั้งก่อนเมื่อปี 2557 ที่เฉลี่ย 29,637 บาท/ตัน ก็ถือว่ายังอยู่ระดับที่ดี

เฉือนชนะ 5 ราย

และหากเทียบกับผู้เสนอราคาอีก 6 ราย จะเห็นว่า ในส่วนของข้าวในคลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ทางบริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด จังหวัดชัยนาท มาเป็นอันดับ 2 เสนอที่ราคา 209,843,000 บาท ราคาต่อตัน 18,001.99 บาท

ตามด้วยบริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี เสนอที่ราคา 182,046,000 บาท ราคาต่อตัน 15,617.35 บาท บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ เสนอที่ราคา 186,506,473.60 บาท ราคาต่อตัน 16,000 บาท ส่วนบริษัท สหธัญ จำกัด จังหวัดนครปฐม บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ และบริษัท อุบลไบโอเกษตร จำกัด จังหวัดอุบลราชธานี ไม่ยื่นซองเสนอราคา

ส่วนคลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ก็มี บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด จังหวัดชัยนาท มาเป็นอันดับ 2 เช่นเดิม เสนอที่ราคา 60,482,800 บาท ราคาต่อตัน 18,019.11 บาท ตามด้วยบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ เสนอที่ราคา 56,088,888 บาท ราคาต่อตัน 16,710.07 บาท บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี เสนอที่ราคา 40,980,000 บาท ราคาต่อตัน 12,208.81 บาท บริษัท สหธัญ จำกัด จังหวัดนครปฐม เสนอที่ราคา 62,734,711.23 บาท ราคาต่อตัน 18,690 บาท บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ เสนอที่ราคา 53,705,477.77 บาท ราคาต่อตัน 16,000 บาท ส่วนบริษัท อุบลไบโอเกษตร จำกัด จังหวัดอุบลราชธานี ไม่ยื่นซองเสนอราคา

ตามกระบวนการหลังจากนี้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) จะมีการเจรจาต่อรองราคา ก่อนที่สรุปผลการประมูลภายในวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากนี้ และจะประกาศผู้ชนะประมูล เพื่อทำสัญญาภายใน 15 วันต่อไป

ADVERTISMENT

ปิดบัญชีโครงการรับจำนำ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผู้ประกอบการที่ไม่ผ่านคุณสมบัติรอบแรก 1 ราย จากที่ไม่มีใบรับรองค้าข้าวจากกรมการค้าภายใน จึงเหลือผู้มีคุณสมบัติร่วมเสนอราคาเพียง 7 ราย และยื่นเสนอราคาเข้ามา 6 ราย ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหา หลังจากนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของ อคส.ในการเจรจาต่อรองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ภูมิธรรม เวชยชัย
ภูมิธรรม เวชยชัย

“ผลจากการประมูลข้าวเก่าลอตสุดท้าย ไม่กระทบต่อตลาดและราคาข้าวหอมมะลิในตลาด เพราะปริมาณข้าวครั้งนี้ไม่มากหากเทียบกับการส่งออกทั้งหมด และการประมูลข้าวครั้งนี้จะช่วยให้มีรายได้กลับคืนเข้าสู่รัฐไม่น้อยกว่า 286 ล้านบาท เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นถือว่าเป็นการปิดโครงการข้าวค้างสต๊อกของรัฐ ทำให้ไม่มีสินค้าเกษตรเหลือในสต๊อกรัฐบาลอีกแล้ว การดำเนินการทั้งหมดถือว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องสะสางปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไป”

ADVERTISMENT

ข้าวเก่าไม่มีผลต่อการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ในมุมภาคส่งออกไทยอาจต้องสู้ศึกหนักขึ้น จากความท้าทายหลายอย่างในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าการส่งออกข้าวไทย 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน 2567) ปริมาณ 3,398,145 ตัน เพิ่มขึ้น 29.1% หรือเฉลี่ยเดือนละ 850,000 ตันต่อเดือน ในด้านมูลค่า 78,517 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผลการประมูลข้าวรัฐ 10 ปี มีปริมาณเพียง 15,000 ตัน ไม่มีผลต่อราคาข้าวในตลาดเพราะปริมาณน้อยมาก แต่สิ่งที่จะทำให้ไทยแข่งขันลำบาก คือ ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม

“การทำตลาดข้าวของผู้ส่งออกเวียดนาม ซึ่งมีข้าวคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งราคาส่งออกข้าวของเวียดนามเฉลี่ยยังถูกกว่าไทย 100 เหรียญสหรัฐต่อตัน เช่น ข้าวหอมมะลิไทย อยู่ที่ 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน เวียดนาม อยู่ที่ 670-680 เหรียญสหรัฐต่อตัน และหากราคาข้าวไทยยังคงสูงกว่าคู่แข่ง เป็น 100 เหรียญสหรัฐต่อตันก็ลำบาก มีแนวโน้มที่อินโดนีเซีย ที่คาดว่าจะประมูลข้าวเดือนละ 3 แสนตัน เวียดนาม ปากีสถาน รวมไปถึงตลาดมาเลเซีย จะนำเข้าข้าวจากเวียดนาม”

สำหรับราคาข้าวขาว 5% ของไทย ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2567 อยู่ที่ 647 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม และปากีสถานอยู่ที่ 573-577 และ 587-591 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามลำดับ ส่วนราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 636 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดียและปากีสถานอยู่ที่ 542-546 และ 595-599 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามลำดับ

“อินเดีย” หวนคืนสังเวียน Q4

ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ นโยบายการส่งออกข้าวของอินเดีย หลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มจะหวนกลับมาส่งออกข้าวในไตรมาส 4 ซึ่งเมื่อ “ซัพพลายในตลาดเพิ่มขึ้น” เท่ากับว่าการแข่งขันด้านราคาในครึ่งปีหลังจะสูงขึ้นด้วย

และแม้ว่าที่ผ่านมา อินเดียจะมีการเก็บภาษีส่งออกข้าว อัตราสูงถึง 20% แต่ราคาข้าวอินเดียก็ยังถูกกว่าไทย 70-80 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ส่งออกทะลุเป้า 8 ล้านตัน

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยยังคงมั่นใจว่า การส่งออกข้าวของไทยทั้งปี 2567 ไทยจะยังสามารถส่งออกได้ปริมาณ 8 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับเวียดนามที่มีแนวโน้มจะส่งออกทั้งปี 8 ล้านตันเช่นกัน

โดยการส่งออกข้าวไทยครึ่งปีแรก คาดว่าจะมีปริมาณถึง 5 ล้านตัน ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะส่งออกได้เพิ่มอีก 3 ล้านตัน เท่ากับต้องส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 5 แสนตัน โดยชนิดข้าวสำคัญที่มีโอกาสในการส่งออกคือ ข้าวขาว ส่วนข้าวหอมมะลิจะแข่งขันลำบากขึ้น ส่วนข้าวนึ่ง ซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออกส่วนใหญ่ไปที่แอฟริกา ไนจีเรีย โมซัมบิก ก็ต้องดูเรื่องราคาว่าจะยังสามารถแข่งขันได้หรือไม่

ส่วนตลาดข้าวเก่านั้นปัจจุบันไม่มีมานานแล้ว และตลาดข้าวเก่าที่ผ่านมา ที่ผู้ส่งออกเคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละประมาณ 3 ล้านตัน เป็นช่วงที่รัฐบาลนำข้าวในโครงการรับจำนำข้าวออกมาประมูล ทำให้ไทยส่งออกทั้งปีสูงถึง 11 ล้านตัน

แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกไม่มีสต๊อกข้าวเก่าในมือ จึงมีการทำการตลาดเฉพาะข้าวนึ่งเท่านั้น และสถานการณ์ในช่วง 4 เดือนแรกของปี ยอดส่งออกข้าวนึ่งไทยทำได้ประมาณ 3.2 แสนตัน ลดลง 28% เนื่องจากราคาข้าวไทยสูง นี่จึงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองต่อไป