ประสิทธิ์ บุญดวงประเสิรฐ ซีอีโอ CPF เคลียร์ทุกปม ‘ปลาหมอคางดำ’

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสิรฐ
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสิรฐ

ความสงสัยในประเด็นของต้นตอการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ยังเป็นประเด็นที่สังคมจับตามอง วันนี้นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ได้นำผู้บริหาร เปิดเผย CPF ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการวิจัยปลาหมอคางดำปี 2553 ถึง 2554 แบบละเอียดทุกขั้นตอน

โดยสรุป 6 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

1) บริษัทยังไม่ได้เริ่มทำการวิจัยเนื่องจากลูกปลาเสียหายทั้งหมดในขั้นตอนกักกันโรค เป็นระยะเวลาเพียง 16 ตั้งแต่ 24 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2564

2) บริษัทได้ดำเนินการตามเงื่อนไขการขอนำเข้าตามหลักมาตรฐาน 3) มีการใช้ข้อมูลเท็จผ่านสื่อ ซึ่งบริษัทอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี

4) เหตุใดจึงมีการส่งออกปลาหมอคางดำกว่า 300,000 ตัวในลักษณะปลาสวยงามที่มีชีวิตไป 17 ประเทศในช่วงปี 2556-2559

5) เหตุใดจึงมีการระบาดของปลาหมอบัตเตอร์ ทั้งทีเป็นปลาที่ห้ามนำเข้า หรือเพาะเลี้ยง6) งานวิจัยของกรมประมงในปี 2563 และ ปี 2565 ที่มีการนำมากล่าวอ้างยังมีข้อสงสัยในหลายข้อ

ADVERTISMENT

ข้อเท็จจริง การวิจัยปลาหมอคางดำ

นายประสิทธิ์เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นในการศึกษาเรื่องปลาหมอคางดำ มาจาก โครงการปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ในปี 2549

“การพัฒนาพันธุ์ไม่มีใครรู้คำตอบหรอก ว่าผลวิจัยจะเป็นอย่างไร เพียงแต่เรามีไอเดียเมื่อปี 2548-2549 ว่าจะพัฒนาปลานิลซึ่งมีปัญหาในบางจุดจึงนำเอาปลานิลสายพันธุ์อื่นที่มีความหลากหลายเข้ามา หลักคิดก็มีเพียงเท่านั้น ตอนนั้นแนวคิดนี้เกิดจากการประชุม World Fish Conference ที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มีการพูดถึงปลานิลสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้เกิดไอเดียว่าจะมีการนำเข้าปลาสายพันธุ์อื่นมาพัฒนาสายพันธุ์ แต่ไม่ได้นำเข้าในทันทีเมื่อปี 2549 แต่ปลายทางไม่สามารถหาพันธุ์ปลาให้ได้จึง เพิ่งจะได้มานำเข้าในปี 2553”

ADVERTISMENT

โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ นำเข้าลูกปลาที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron หรือชื่อภาษาไทย คือ ปลานิล จากประเทศกานา จำนวน 5,000 ตัว แต่ ปี 2549 ทางปลายทางไม่สามารถหาปลาหมอคังดำให้ได้จึงเลื่อนมานำเข้าในปี 2553 ได้เพียง 2,000 ตัว มาทดลองปรับปรงพันธุ์ปลานิล เพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อลดการเกิดเลือดชิด (การปรับปรงพันธุ์) ของสายพันธุ์ที่มีอยู่เพื่อทดลองประสิทธิภาพการเจริญเติบโต และประเทศกานาเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิมและไม่ได้ทำการคัดพันธุ์ จึงน่าจะยังคงความหลากหลายของยีนส์

เปิดขั้นตอนการวิจัยปลาหมอคางดำ CPF

สำหรับกระบวนการวิจัยมี 4 สเตจ คือ ขออนุญาต นำเข้า วิจัย และสรุปผลโครงการ ดังนี้

( 1) ขออนุญาต

1.1 เลือกชนิดปลา, สายพันธุ์ที่จะนำเช้า

1.2 ขออนุญาตนำเข้าจากกรมประมง

ซึ่งข้อปฏิบัติของกรมประมง จะต้อง

1.เข้าที่ประชุมคณะกรรมการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (IBC) พิจารณา

2.ออกใบอนุญาต

3.แต่งตั้งคณะกรรมการย่อยเพื่อติดตามโครงการ

(2) นำเข้า

2.1 นำเข้าและตรวจสภาพปลา

2.2 นำไปไว้ในบ่อกักกันโรคระยะเวลา 60 วัน

2.3 ประเมินความแข็งแรง

ข้อปฏิบัติของกรมประมง

1.เจ้าหน้าที่ตรวจสัตว์น้ำที่ด่านตรวจสัตว์น้ำ

นายประสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า การเอาปลาสายพันธุ์ใหม่เข้ามาต้องมีการกัดกันโรคก่อนเพื่อป้องกันการนำเชื้อจากฟาร์มอื่นเข้ามาแพร่ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับกัดการกัดกันโรคของคนที่มีการเดินทางไปต่างประเทศบางประเทศก็จะต้องมีการกักตัวและฉีดวัคซีนบางอย่าง

(3) วิจัยลักษณะเด่น

3.1 ทดสอบลักษณะเด่นของ สายพันธุ์ เช่น ทนเค็มได้หรือไม่

3.2 ระยะเวลา แบบ Direct shock 15 วัน และแบบ Gradually increase salinity รวมระยะเวลา มากกว่า 3 ปี

ใน ขั้นตอนนี้ ข้อปฏิบัติของกรมประมง จะต้องมีเจ้าหน้าที่เก็บครีบโดยไม่ทำให้ปลาตาย

และ เจ้าหน้าที่ติดตามและตรวจสอบตลอดโครงการวิจัย ทุกเดือน(โดยประมาณ)

(4) สรุปโครงการ

4.1 สรุปผลโครงการวิจัย

4.2 ยืนขออนุญาตทดลองรุ่นต่อไป

ข้อปฏิบัติของกรมประมง

1.ติดตามสรุปผลการทดลอง

2.ตรวจสอบซากและหลักฐานการทำลาย

เปิด Timeline การขนส่งปลาหมอคางดำ

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทยังไม่ได้เริ่มทำการวิจัยเนื่องจากลูกปลาเสียหายทั้งหมดในขั้นตอนกักกันโรค เป็นระยะเวลาเพียง 16 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2564

โดยลำดับเหตุการณ์ ดังนี้ วันที่ 24 ธ.ค. 53 เวลา 20.00 น. บริษัทได้เดินทางมารับปลาที่นำเข้าจากกาน่า จำนวน 2,000 ตัวที่ด่านกักสัตว์น้ำสุวรรณภูมิโดยปลาที่นำเข้าเป็นลูกปลาที่มีขนาดเล็ก บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก ที่มีการอัดเอาออกซิเจนเข้าไปเดินทางด้วยการขนส่งมากกว่า 35 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลูกปลาตายระหว่างการเดินทาง 1,400 ตัวเหลือลูกปลา 600 ตัว

ต่อมาในเวลา 23.00 น. วันเดียวกัน บริษัทได้นำลูกปลาส่วนที่เหลือไปไว้ในบ่อกักโรค ที่ฟาร์ม ในศูนย์วิจัยการเลี้ยงกุ้ง และเทคโนโลยีชีวภาพ ยี่สาร จ. สมุทรสงครามมาส่วนปลาที่ตายทั้งหมด 1,400 ตัวได้ฝังตามกระบวนการที่กระทรวงกำหนด ทั้งการขุดหลุมลึก 50 cm โรยปูนขาวรองพื้นก่อนจากนั้นนำซากปลาที่แช่ฟอร์มาลีนมาฝังและโรยทับด้วยปูนขาวอีกชั้นหนึ่ง

หลังจากที่เลี้ยงและดูแลปลาส่วนที่เหลือก็ยังพบว่าปลายังทยอยตาย ผู้ดูแลได้มีการปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมประมงว่าลูกปลาไม่แข็งแรงและไม่เพียงพอต่อการวิจัย (การวิจัยเพื่อให้ได้ผลเป็นประสิทธิภาพต้องมีปลา 250 คู่หรือประมาณ 500 ตัว) เจ้าหน้าที่ให้เก็บตัวอย่างปลาใส่ขวดโหลแซ่ฟอร์มาลีนมาส่งที่กรมประมงสัปดาห์ที่ 2 เก็บ

ตัวอย่างปลา 50 ตัวดองฟอร์มาลีนเข้มข้นเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานสัปดาห์ที่ 3 วันที่ 6 ม.ค. 54 นำตัวอย่างปลาไปส่งและแจ้งปิดโครงการแก่เจ้าหน้าที่กรมประมง

“ปลาที่นำเข้ามาตายตั้งแต่แรกจำนวน 2 ใน 3 ส่วนที่เหลือเราก็เลี้ยงอย่างประคบประหงม ดูว่าจะมีปลาเหลือรอดสำหรับการวิจัยได้เพียงพอที่จะทำให้ผลการวิจัยออกมาสมบูรณ์หรือไม่ แต่ในที่สุดเพียง 16 วันปลาก็ตายจนเหลือไม่เพียงพอ จึงได้ยุติก่อนที่จะเริ่มการวิจัย”

“และ จากขั้นตอนจะเห็นว่าขั้นตอนในการวิจัยจะต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปีซึ่งวงจรชีวิตปลาชนิดนี้จะต้องมีการเลี้ยง 1 รอบใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือนเท่ากับว่าปีนึงจะเลี้ยงได้แค่เพียง 2 รอบเราต้องการการเลี้ยงมากกว่า 5-6 รอบจึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาวิจัย”

เปิดภาพผังฟาร์มวิจัยปลาหมอคางดำ

พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดทำและนำแผนผังของฟาร์มออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก เปรียบเทียบระหว่างปี 2553 และปีปัจจุบัน เพื่อยืนยันว่า โซนของบ่อกักโรคจะอยู่ในอาคารแยก และไม่สามารถเชื่อมโยงถึงแหล่งน้ำภายนอกได้

จุดกักกันโรคลูกปลาหมอคางดำ 600 ตัวได้ถูกนำมาพักในบ่อลักษณะเป็นบ่อปูนซีเมนต์ขนาดความจุน้ำ 8 ตัน ตามกำหนดจะกัก 60 วันแต่ตายเสียก่อนซึ่งจุดนี้อยู่มนอาคารที่มีหลังคาในระบบปิด กระบวนการนี้เป็นช่วงเวลาของการกักกันโรค (Quarantine) ตามมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio-securities) แยกส่วนออกจากบ่อเลี้ยงโดยบ่อเลี้ยงปลาสำหรับการวิจัยซึ่งบ่อนี้ก็จะอยู่คนละส่วนกับบ่อเลี้ยงกุ้ง (ตามภาพ) เมื่อปลาผ่านการกักโรคและแข็งแรงจัถูกนำมาเลี้ยงในบ่อวิจัยโดยจะเลี้ยงในกระชังเท่านั้น ตามระบบ normal practice

ดังนั้น คำกล่าวอ้างที่ว่าฟาร์มยี่สารมีแต่บ่อดินและเลี้ยงปลาหมอคางดำในบ่อดินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553-2560 จึงเป็นข้อความเท็จและบิดเบือน

“บ่อพักน้ำที่อยู่โดยรอบฟาร์มที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ที่มีการตรวจสอบเมื่อปี 2560 และพบว่ามีปลาหมอคางดำอยู่ในนั้นตามที่เป็นข่าวบริษัทขอชี้แจงว่า บริเวณบ่อพักน้ำจะมีการสูบน้ำจากแหล่งน้ำภายนอกเข้ามาสำรองใช้ในฟาร์มในแต่ละปีโดยกำหนดจำนวนครั้ง เพื่อรักษาสภาพความของน้ำที่จะต้องมีความกร่อยด้วย แต่จะไม่มีการถ่ายน้ำออกไปภายนอกเพราะน้ำระหว่างบ่อพักน้ำและบ่อวิจัยจะมีการ circulate กัน”

ปฏิบัติตามเงื่อนไขการนำเข้าปลา

“ในปี 2549 การนำเข้าปลาหมอคางดำยังไม่ถูกจัดให้เป็น สิ่งต้อง ห้ามนำเข้า แต่การจะนำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมง โดยผ่านคณะกรรมการ IBC และต้องนำเข้าภายใต้กฎหมายที่กำหนดซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างเงื่อนไขในปี 2549 และปี 2553 ต่อมา ภายหลัง ปี 2561 จึงได้เปลี่ยนแปลงโดยกำหนด ห้ามไม่ให้มีการนำเข้าเลย”

ทั้งนี้ เงื่อนไขในการนำเข้าปี 2549 เป็นไปตามหนังสือ กษ0510.2/15622 ประกอบด้วย เงื่อนไข

1) กรมประมงขอเก็บตัวอย่างครีบภายหลังการนำเข้า

2) กรมประมงขอทราบผลการศึกษาอัตราการเจริญเติบโตเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม

3) หากผลการศึกษาที่ได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ประสงค์จะทำการศึกษาต่อ ต้องทำลายปลาชุดดังกล่าวทั้งหมด

ส่วนเงื่อนไขในที่ประชุมคณะกรรมการ IBC 22 เมษายน 53 ประกอบด้วย

1) กรมประมงเก็บตัวอย่างครีบ โดยไม่ทำให้ปลาตายอย่างน้อย 3 ตัว

2) เมื่อสิ้นสุดการทดลองให้ผู้นำเข้าแจ้งผลการทดลองแก่กรมประมง

3) ในกรณีที่การทดลองได้ผลไม่ดี ผู้ขอนำเข้าไม่ประสงค์จะใช้ปลาต่อไป ขอให้ทำลายและเก็บซากไว้ให้กรมประมงตรวจสอบ

แต่ในหนังสือ กษ 0510.2/3835 วันที่ 28 เม.ย. ปี 2553 กลับแจ้งเพียงว่า “เก็บตัวอย่างครีบดอง ในน้ำยาเก็บ ตัวอย่าง ส่งมาที่กลุ่มความหลากหลายทาง ชีวภาพสัตว์น้ำ และให้แจ้งที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2558 xxxx

และ 2) เมื่อสิ้นสุดการทดลองให้รายงานผลการศึกษาหากผลการศึกษาที่ได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และไม่ประสงค์จะทำการศึกษาต่อ ให้ทำลายปลาชุดดังกล่าวทั้งหมด โดยแจ้งกรมประมงเพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบการทำลายต่อไป”

“ประเด็นในการเก็บครีบตามเงื่อนไขแรกที่ให้เก็บครีบหลังจากที่ขนส่งปลาเข้ามากำหนดให้ต้องทำในขณะที่ปลาโตอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะเก็บแล้วปลาไม่ตาย แต่ปรากฎว่าพอนำมาเลี้ยงเพียง 16 วันปลาตายจึงไม่สามารถเก็บครีบได้”

ส่วนเงื่อนไข 3 การเก็บตัวอย่างปลาหลังสิ้นสุดการวิจัย ซึ่งจะเห็นว่ามติทาง IBC กำหนดให้กรมประมงเป็นผู้เก็บแต่ในหนังสือของกรมประมงไม่ได้ระบุว่าให้ใครเป็นผู้เก็บจึงทำให้เกิดสับสนกันในทางปฏิบัติว่าใครควรจะต้องเป็นผู้เก็บ

โดยบริษัทเข้าใจได้ว่าเหตุผลที่ IBC กำหนดให้กรมประมงต้องเป็นผู้เก็บครีบเองเพราะว่าการเก็บครีบนำไปส่งนั้นมีความสำคัญมากเพราะ หากให้เอกชนผู้วิจัยเป็นผู้เก็บก็อาจจะทำให้ไม่มั่นใจว่าเป็นการเก็บครีบของปลาชนิดใด เป็นปลาตามที่ขออนุญาตหรือไม่ ดังนั้นจึงควรต้องให้กรมประมงเป็นผู้เก็บด้วยตัวเอง และการเดินทางมาตรวจตามจะมีส่วนสำคัญทำให้ กรมมีโอกาสเข้ามาตรวจสอบและดูแลในพื้นที่ทำวิจัยได้อีกทางหนึ่ง

ส่วนประเด็นเรื่องการสั่งทำลายซากปลานั้นทางบริษัทขอยืนยันว่ากระบวนการปักซากปลาได้มีการแบ่งทำหลายครั้งครั้งแรกฝังเมื่อ มีปลาตายล็อตแรก 1,400 ตัวและทยอยฝากส่วนที่เหลือโดยดำเนินการตามกระบวนการของกรมประมง โดยมีการใส่คลอรีนที่มีความเข้มข้น 100 ppm ลงไปในน้ำเพื่อทำลาย ปลาและมีการดองฟอร์มาลีนก่อนจะนำมาฝังกลบ โดยหลุมที่ฝังกลบขุดลึก 50 ซม.มีการรองพื้นด้วยปูนขาวก่อนหลังจากนั้นก็มีการกลบทับด้วยปูนขาวอีกชั้นหนึ่ง

“การส่งโหลของปลาดองล็อตสุดท้าย 50 ตัวมีการส่งไปในวีคที่ 3 ในวันที่ 6 มกราคม 2554 ซึ่งกระบวนการติดต่อกันระหว่างบริษัทและกรมประมงก็จะมีลักษณะที่ใช้โทรศัพท์ในการสื่อสารกัน ไปมา แต่หลังจากนั้นนับจากปี 2554 ก็ไม่ได้มีการเข้ามาตรวจความจนกระทั่งปี 2560 ที่มีการร้องเรียนเกิดขึ้นทำให้กรมประมงและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเดินทางเข้ามาชมฟาร์ม”

ย้ำถูกใช้ภาพเท็จ-ข้อมูลเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริง

นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่าบริษัทได้พบว่ามีการนำเสนอภาพเท็จและข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในเชิงลบเกี่ยวกับบริษัทตามช่องทางสื่อสาธารณะต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นภาพประกอบในการเสวนาจำนวน 3 ภาพ

ภาพแรกเป็นรูปภาพถ่ายทางอากาศของบริเวณฟาร์มยี่สารที่มีการระบุผังของฟาร์มบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งความเป็นจริงคือ บ่อปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ปลาทับทิมและปลาทะเล

ภาพที่สองที่อ้างว่าเป็น “สภาพบ่อดินของฟาร์มยี่สารซึ่งใช้เพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ 2554-2557” และมีข้อความบนภาพว่า “แต่เลี้ยงต่อเนื่องที่ฟาร์มยี่สารตั้งแต่ 2553-2560” ภาพนี้ไม่ใช่ภาพของฟาร์มยี่สาร รวมทั้งฟาร์มแห่งนี้ได้มีการปิดปรับปรุงฟาร์มในช่วงเวลาดังกล่าวประมาณ 1-2 ปี ภาพและข้อความดังกล่าวจึงเป็นภาพและข้อมูลเท็จ

และภาพที่สาม ที่กล่าวอ้างว่าเป็น”การคัดเลือกไข่ปลาหมอคางดำฯ”นั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะไม่ใช่กระบวนการคัดเลือกไข่ตามแนวปฏิบัติของบริษัท

“ขอยืนยันว่าบริษัทไม่ใช่ต้นตอการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ และต้องขอปกป้องศักดิ์ศรีของบริษัทที่มีผู้ใช้ภาพเท็จ-ข้อมูลเท็จในการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้สังคมเข้าใจผิด และจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฏหมายต่อไป”

ตั้งข้อสังเกตพิรุธส่งออกปลาหมอคางดำ

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นถัดมาที่สังคมให้ความสนใจคือในระหว่างปี 2556-2559 มีการแจ้งส่งออกปลาหมอคางดำมากกว่า 3 แสนตัวไปยัง 17 ประเทศทั่วโลก โดยบริษัทเอกชน 11 บริษัท ซึ่งกรมประมงแจ้ง ต่อคณะกันมาธิการ ว่า ทั้ง 11 บริษัทนั้นส่งปลาคนละชนิด โดยเกิดความผิดพลาดในขั้นตอนของบริษัทชิปปิ้ง

“แต่โดยปกติการสำแดงสินค้าส่งออกจะใช้ภาษาอังกฤษซึ่งแม้ว่าปลาจะมีการเปลี่ยนชื่อ 3 ครั้งแต่ชื่อภาษาอังกฤษและชื่อทางวิทยาศาสตร์เป็นชื่อเดียวกันจึงนำมาสู่ข้อสังเกตว่าเหตุใด การสำแดงเขตจึงเกิดขึ้นซ้ำต่อเนื่องหลายปี และบริษัทส่งออกเหล่านั้นนำปลาจากแหล่งไหนมาใช้ในการส่งออก การตรวจสอบอยากจะขอความยุติธรรมให้กับทางบริษัทด้วย”

สำหรับเรื่อง ชื่อเรียกพันธุ์ปลาหมอคางดำนั้น ตาม ข้อมูล กรมประมงมีการเปลี่ยนชื่อถึง 3 ครั้ง คือ ปี 2549-เมษายน 2553 ใช้ชื่อภาษาไทยว่า “ปลานิล” จากนั้น ปี 2553-2559 เปลี่ยนมาเป็น “ปลาหมอเทศข้างลาย” และ ปี 2560 – ปัจจุบัน เปลี่ยนมาเป็น “ปลาหมอคางดำ”

แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อภาษาไทยไปอย่างไร ก็ยังใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon Melanotheron และชื่อสามัญ Blackchin tilapia เหมือนเดิม ส่วน ปลาหมอเทศข้างลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Orechromis aureus

ดังนั้น ในการทำพิธีการส่งออกซึ่งจะต้องสำแดงชื่อปลาเป็นภาษาอังกฤษก็จะต้องใช้ชื่อปลาชนิดเดียวกัน เมื่อบริษัทส่งออกปลาในช่วง 2556 ถึง 2559 แจ้งว่า บริษัทชิปปิ้งสำแดงชื่อผิดนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

การแพร่ระบาดของปลาหมอบัตเตอร์

ประเด็นข้อสังเกต ในกรณีที่ต่อมาเกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอบัตเตอร์ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับปลาหมอคางดำที่บริเวณเขื่อนสิริกิติ์

ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อปี 53 และปี 54 ปลาชนิดนี้ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกับปลาหมอคางดำหมายถึงไม่ได้มีการห้ามนำเข้าแต่ผู้ที่จะนำเข้าต้องมีการขออนุญาตเหมือนกันแต่ไม่ปรากฏชื่อว่ามีบริษัทรายใดขออนุญาตนำเข้าปลาหมอบัตเตอร์ แต่เหตุใดจึงมีการแพร่ระบาดออกมาได้

โต้ข้อมูลงานวิจัยกรมประมงปี 63และ65

พร้อมกันนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่ามีการนำข้อมูลการวิจัยของกรมประมงในปี 2563 และ 2565 ออกมาเผยแพร่(โจมตี CPF) ทั้งที่งานวิจัยทั้งสองปี เป็นการวิจัยโดยใช้วิธีการที่แตกต่างกัน นำมาสู่ผลการวิจัยที่มีความแตกต่างกันและยังขัดแย้งกันในบางประเด็น กล่าวคือ

ปี 2563 ไมโครเซ็ทเทิลไลน์ตรวจดีเอ็นเอ 5 ตำแหน่ง ส่วนปี 2565 ใช้ ไมโครคอนเดีย

ซึ่งงานวิจัยในปี 2563 สรุปได้ว่า ปลาหมอคางดำอาจจะมาจากคนละที่คนละเวลา เพราะจังหวัดที่มีการระบาดเป็นคนละสายพันธุ์กัน

“ประชากรปลาหมอสีคางดำที่แพร่กระจายในประเทศไทยมีการแบ่งเป็น 2 หรือ 3 กลุ่มย่อยที่มีความแตกต่างพันธกรรมสูง (8-0.3437; 9596Cl: 0.2350.4517) โดยประชากรจังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ชุมพร และประจวบศรีขันธ์ มีความคล้ายคลึงทางพันธุกรรมมากกว่าประชากรจากจังหวัดระยองซึ่งมีความแตกต่างทางพันธุกรรมกับประชากรอื่นๆ อย่างชัดเจน สะท้อนว่าปลาทั้ง 2 พื้นที่เป็นปลาคนละชนิดกัน”

ขณะที่งานวิจัยในปี 2565 มีการสรุปที่มีความแตกต่างกัน โดยบทสรุปท่อนแรกบอกว่า ค่าระยะห่างทางพันธุศาสตร์ของประชากรปลาหมอสีคางดำที่พบแพร่กระจาย ในพื้นที่ 6 จังหวัดของประเทศไทยมีต่ำระหว่าง 0.00085-0.00358 แสดงให้เห็นว่าประชากรไม่มีความแตกต่างกันทางพันธุกรรมมากนัก

แต่พอวรรคถัดมากลับเขียนว่าในขณะที่การทดสอบโครงสร้างพันธุศาสตร์ประชากรด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนโมเลกุล (AMOVA) ในเครื่องหมายพันธุกรรม Mitochondrial DNA ที่ตำแหน่ง d-loop พบว่า ประชากรปลาหมอสีศางดำที่พบแพร่กระจายในพื้นพื้นที่ 6 จังหวัดของประเทศไทยมีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่แบ่งเป็นประชากรย่อย (p-value <0.0001) และ มีค่าประมาณสัมประสิทธิ์ Fst หรือ Theta(B) มีเท่ากับ 0.15304 ซึ่งระบุถึงการแบ่งเป็นประชากรย่อยหรือมีความแตกต่างระหว่างประชากรสูง ตามเกณฑ์ของ Wight (1978), Hartland Clack (1997) และ Frankham et ol. (2002)

“วรรคแรกบอกว่าปลาที่นำเข้าไม่แตกต่างกันแต่วรรคถัดมาเขียนเรื่องค่าระยะห่างทางพันธุกรรมกับบอกว่าปลาที่พบในเพชรบุรีและสมุทรสงครามมีระยะห่างทางพันธุกรรมมากที่สุด ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน ขณะที่ประชากรปลาที่พบในจังหวัดระยองและประจวบคีรีขันธ์มีระยะห่างทางพันธุกรรมน้อยที่สุด ทั้งที่เป็นทำเลที่ห่างกันจึงตีความได้ว่ามีคนนำไปหรือไม่แล้วใครเป็นคนนำพาไปกระจายไปสู่แหล่งน้ำได้อย่างไร”

ทั้งนี้การอ้างอิงถึงเอกสารทั้ง 2 ฉบับนั้น เพื่อเป็นการให้ข้อมูลตามผลการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้ ต้องการจะสรุปประเด็นการศึกษา ความหลากหลายพันธุกรรมของประชากรปลาหมอคางดำ และการวิเคราะห์เส้นทางการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำ

ถอดบทเรียนการระบาด

นายประสิทธิ์ให้บทสรุปจากการถอดบทเรียนของเรื่องนี้ว่าผมเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า ไม่อยากให้เรื่องนี้ส่งผลต่อการพิจารณาจัดทำการวิจัยในอุตสาหกรรมนี้หรืออุตสาหกรรมอื่นๆในอนาคต

“เรื่องนี้ไม่ควรจะทำให้ ไทยหยุดการพัฒนาสายพันธุ์ในส่วนของ CPF เองยืนยันได้ว่า กระบวนการพัฒนาและวิจัยพันธุ์สัตว์น้ำจะยังดำเนินต่อไป โดยการวิจัยและพัฒนาสามารถทำได้หลายแนวทางทั้งแนวทางการนำพันธุ์สัตว์น้ำชนิดอื่นเข้ามาผสมพันธุ์การพัฒนาเรื่องอาหารหรือแม้แต่กระบวนการเลี้ยง”

และ CPF ยังดำเนินมาตรการช่วยเหลือกรมประมงในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอกคางดำ ตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด 5 โครงการ ก่อนหน้านี้