“บ้านปู” เบรกลงทุนถ่านหิน 5 ปีมุ่งสู่เทคโนโลยีพลังงาน

สินนท์ ว่องกุศลกิจ บ้านปู

บ้านปูฝ่าวิกฤตราคาถ่านหินร่วง 40% รัดเข็มขัดกิ่วกวาดรายได้ ครึ่งปีแรก 8.8 หมื่นล้านบาท เตรียมร่างแผน 5 ปี วางโรดแมปสู่เป้าหมายลดคาร์บอน “สินนท์” ย้ำเบรกลงทุนถ่านหินลดสัดส่วน EBITDA จาก 60% เหลือ 50% ในปี 2030 ส่งบ้านปูเน็กซ์เร่งเครื่อง 5 สาขาธุรกิจ ผนึกสิงคโปร์ชูเทคโนโลยีดิสตริกคูลลิ่งเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานประเดิมศูนย์ราชการโซนซีปลายปี ดึง AI ช่วยซื้อขายพลังงาน แง้มแผนผนึกพันธมิตรผุด “ดาต้าเซ็นเตอร์” มั่นใจรับอานิสงส์เทรนด์ลดคาร์บอน ช่วยกระตุ้นตลาดเทคโนโลยีลดปล่อยคาร์บอน

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 2,441 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 88,425 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 650 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23,547 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 69 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,489 ล้านบาท สำหรับสัดส่วน EBITDA ปัจจุบันมาจากธุรกิจแหล่งพลังงาน

โดยเฉพาะถ่านหิน เป็นรายได้หลัก 412 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือธุรกิจไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และเทคโนโลยีพลังงานตามลำดับ

สินนท์ ว่องกุศลกิจ
สินนท์ ว่องกุศลกิจ

“แม้ว่าราคาคอมโมดิตี้ปีนี้เทียบกับปีก่อนลดลง เช่น ราคาซื้อขายถ่านหิน 6 เดือนแรกอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ปีก่อน 170 เหรียญสหรัฐ ลดลงประมาณ 40% ราคาแก๊สก็เช่นกัน ปีนี้ราคาขาย 1.8-1.9 เหรียญสหรัฐต่อเอ็มซีเอฟ ปีก่อน 2 เหรียญสหรัฐกว่า ๆ จะเห็นว่าลดลงประมาณ 10%

แต่บริษัทสามารถที่จะปรับลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มตั้งเป้าประหยัดต้นทุน 1.5-3.0 เหรียญสหรัฐต่อตันสำหรับถ่านหิน และ 0.06-0.07 เหรียญสหรัฐต่อ Mcf สำหรับธุรกิจก๊าซ และรักษาความแข็งแกร่งของกระแสเงินสด ส่วนยอดขายถ่านหินทั้งปี 2567 เหมืองที่อินโดนีเซียคาดว่าจะขายได้ 26 ล้านตัน ส่วนออสเตรเลียครึ่งปีหลังคาดว่าจะขายได้ 4.7 ล้านตัน รวมทั้งปี 8.8 ล้านตัน โดยตลาดหลัก ๆ ก็ยังขายไปญี่ปุ่น จีน”

ส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้า ครึ่งปีแรก รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในสหรัฐ ขายไฟฟ้า 288 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น และธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 4,008 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานความร้อนร่วม และพลังงานหมุนเวียน 903 เมกะวัตต์ ส่วนกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ในครึ่งแรกของปี 2567 ได้มีการขยายการลงทุนใหม่ ๆ แต่ EBITDA ยังติดลบอยู่ที่ 417%

ADVERTISMENT

บ้านปู

ชู กลยุทธ์ 3D

นายสินนท์กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนการลงทุน 5 ปี คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะปรับสัดส่วนของ EBITDA ของถ่านหินลดลงจากปัจจุบัน 60% เหลือ 50% ในปี 2030 ในแผนใหม่นี้จะไม่มีการลงทุนในกลุ่มถ่านหิน ส่วนงบประมาณการลงทุน ปี 2567 บ้านปูวางไว้ 350 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะแบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นการลงทุนในกลุ่มของเทคโนโลยีด้านพลังงานและพลังงานหมุนเวียน 50% และแหล่งพลังงาน 50%

ADVERTISMENT

โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและมาตรการควบคุมต้นทุน และดำเนินการตาม 3 กลยุทธ์ คือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) มีความคืบหน้าจากโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Sequestration : CCUS) ในสหรัฐ ที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas : CSG) ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งใน Scope 1 2 และ 3

กลยุทธ์ (Digitalization) นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้เสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบนิเวศภายในบ้านปู ทั้งยังมีการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายโอกาสด้านการขายและการตลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานในอินโดนีเซีย และสหรัฐ ด้วยกลยุทธ์ Decentralization

บ้านปูเน็กซ์วางเป้า 2025

ธุรกิจเทคโนโลยีด้านพลังงานซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านตามแผน 5 ปีนั้น แม้ว่าจะยังมี EBITDA ติดลบอยู่ที่ 417% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ แต่มีแผนและเป้าหมายการปั๊มรายได้ในอนาคตอย่างชัดเจน

โดยนายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายในอนาคตปี 2025 ใน 5 ธุรกิจ ดังนี้ 1) การเพิ่มโซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์โฟลทติ้ง เป็น 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มี 258 เมกะวัตต์ (ไทย 100 MW จีน 66 MW เวียดนาม 62 MW และอินโดนีเซีย 32.3 MW)

2) แบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เพิ่มจาก 3 GWh เป็น 6 GWh โดยปัจจุบันมีลูกค้าหลายบริษัทที่ใช้แบตเตอรี่เรา เช่น GWM หรืออย่างบริษัท เชิดชัยขนส่ง จะเปลี่ยนจากสันดาปมาใช้แบตเตอรี่ของบ้านปูเน็กซ์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแบตเตอรี่ฟาร์มเพื่อกักเก็บพลังงานสำรองด้วย 3) สมาร์ทซิตี้ และการบริหารจัดการด้านพลังงาน เพิ่มจาก 27 โครงการเป็น 60 โครงการ

4) การซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) จาก 831 GWh เป็น 2,400 GWh และ 5) ธุรกิจการเคลื่อนย้าย E-Mobility ซึ่งจะขยายรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า Muvmi ที่ปัจจุบันมี 337 MWh แบตเตอรี่ EV 794 Unit มีเป้าหมายจะขยายบริการในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นจากปัจจุบัน 2,700 ตันคาร์บอน

บ้านปู

จ่อ COD โครงการใหม่

โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหลายโครงการ สำหรับธุรกิจบริหารจัดการพลังงานนั้น ในไตรมาส 4 ปี 2567 เตรียมจะเปิดให้บริการโครงการระบบทำความเย็น ที่เรียกว่า District Colling System (DCS) ซึ่งบริษัทรับติดตั้งให้กับศูนย์ราชการโซนซี ผ่านการจอยต์เวนเจอร์กับสิงคโปร์ พาวเวอร์ (SP Groups) ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้อันดับ 1 จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเคยใช้ในโรงแรมที่สิงคโปร์ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า 35-40%

ขณะเดียวกันยังมีโครงการให้บริการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน หรือ Energy Efficiency ของ BANPU NEXT Eco Serve ที่ผ่านการแอปพรูฟแล้วมีจำนวน 25 สัญญา คิดเป็น 22,600 ตันความเย็น โดยมีลูกค้า เช่น SB Design Square เป็นต้น

ธุรกิจด้านแบตเตอรี่และกักเก็บพลังงานนั้น ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาหลายโครงการ เช่น บริษัท DP Next Production Plant ให้บริการในนิคมอมตะชลบุรี ขนาด 1 GWh จะเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2567 และโครงการ IWATE ที่ประเทศญี่ปุ่น ขนาด 58 MWh ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 97% คาดว่าจะเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568

เล็งลงทุนใหม่ AI-ดาต้าเซ็นเตอร์

บริษัทมีแผนการขยายบริษัทธุรกิจ Energy Trading ที่ทำอยู่ในประเทศออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันเราใช้คนทำเทรดเดอร์ แต่เรามีแผนนำระบบ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพเทรด เพราะขณะนี้เทรนด์เทคโนโลยีค่อนข้างล้ำไปแล้ว

“เราพบว่าในหลายประเทศในยุโรปเริ่มมีการนำ AI มาใช้ เราก็มีการไปลงทุนในบริษัทในยุโรป โดยการลงทุนรวม 3 ล้านยูโร ในการพัฒนา Trading AS A Service Platform ชื่อ enspired เพื่อนำข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้ามาวิเคราะห์ ส่งสัญญาณให้ว่าควรจะซื้อขายไฟในช่วงเวลาไหน ในตลาด epexSpot และ Pordpoolspot เน้นตลาดระยะสั้นที่มีการซื้อขายระหว่างตลาดพลังงาน ซึ่งเทคโนโลยี AI นี้ช่วยสร้างกำไร 20%

“ล่าสุดบ้านปูกำลังหารือกับพาร์ตเนอร์เพื่อศึกษาโอกาสในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในต่างประเทศ และยังได้วางแผนการพัฒนาต่อไปว่าทำอย่างไรดาต้าเซ็นเตอร์จะใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งเรามีนวัตกรรมหลายอย่างที่ศึกษาอยู่”

ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 เดือนก่อน บริษัทได้ลงนาม MOU กับบริษัท “อีโวลูชั่น ดาต้า เซ็นเตอร์ (EDC) ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยและเวียดนาม โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลในภูมิภาคจะเติบโตเฉลี่ย 10.21% ต่อปี นับจากปี 2567-2572 จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งที่ใช้ AI เพิ่มขึ้น และคาดว่าธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยจะเติบโตเฉลี่ย 27% ในช่วงปี 2564-2569

ปัจจัยบวกส่งเสริมธุรกิจจากเทรนด์การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ มีผลให้เกิดความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพลังงานสีเขียว ยกตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐ ดีมานด์การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้าในอเมริกาปี 2013-2023 ที่มี 0.5% ต่อปี แต่ต่อไปอีก 5 ปีนี้จะเพิ่มเป็น 5-6% ต่อปี เป็นผลจากการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะที่บริษัทเทคโนโลยีทั้ง Google Microsoft Amazon บริการ ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในธุรกิจบ้านปูในอนาคต

รับส้มหล่นจากเทรนด์ Net Zero

ขณะเดียวกัน เทรนด์เกี่ยวกับการลดการปลดปล่อยคาร์บอน หลังจากที่เราเข้าไปให้บริการลูกค้ามีโอกาสเติบโตมาก ยกตัวอย่างในเมืองไทยมีมากกว่า 50 องค์กรที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero ปี 2030-2035 ก็ต้องดำเนินมาตรการลดการปลดปล่อยคาร์บอน และยังมีองค์กรที่อยู่ต่างประเทศอีก และยิ่งขณะนี้ไทยกำลังจะมีภาษีคาร์บอนก็ยิ่งเป็นแรงส่งให้กับองค์กรต่าง ๆ หันมาเทคโนโลยีที่จะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนมากขึ้น ซึ่งบางธุรกิจที่บ้านปูทำไม่มีคู่แข่ง เช่น การเปลี่ยนแปลงชิลเลอร์ให้ใช้พลังงานน้อยลง หรือเทคโนโลยี District Cooling