ซีอีโอ ปตท. ชู 3C เดินหน้าธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ESG ต้องสร้างสมดุล

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง (แฟ้มภาพ)

Time for Action ซีอีโอ ปตท. ชู 3C เดินหน้าธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ESG ต้องสร้างความสมดุล เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์สินค้าสอดรับกับเมกะเทรนด์ ประเดิม กักเก็บคาร์บอน CCS-ไฮโดรเจน อุตสาหกรรม เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero

วันที่ 22 สิงหาคม 2567 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาประชาชาติธุรกิจ “PRACHACHAT ESG FORUM 2024” ภายใต้ธีม Time for Action #พลิกวิกฤตโลกเดือด ว่า ปตท.ถูกจัดตั้งมาเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อประเทศ จึงมีวิสัยทัศน์ในการสร้างความแข็งแรงร่วมกับสังคมไทย ซึ่งประกอบไปด้วยการมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอและมีต้นทุนที่แข่งขันได้และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน ตอบสนองสังคมไทยและสอดคล้องกับทิศทางของโลก โดย ปตท.ดำเนินธุรกิจเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ความยั่งยืนและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะภูมิอากาศด้วย

“ความยั่งยืนของ ปตท. คือเราต้องสร้างความสมดุล ระหว่างเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมผลิตภัณฑ์สินค้าสอดรับกับเมกะเทรนด์” ดร.คงกระพันกล่าว

ทำเรื่องถนัดให้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้

ดร.คงกระพันกล่าวต่อไปว่า ธุรกิจหลัก ๆ ของ ปตท. ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ Hydrocarbon ซึ่งทำเกี่ยวกับการผลิตและสำรวจ แก๊สธรรมชาติและน้ำมัน นับว่าเป็นพลังงานหลักของโลกไปอีกอย่างน้อย 30 ปี ซึ่ง ปตท.เน้นทำเรื่องที่ถนัดให้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ เพราะเราได้รับ mandate ว่าต้องสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เราก็ต้องหาพลังงานที่ดีด้วย

เช่น เราต้องการขุดสำรวจและผลิตน้ำมันก็จำเป็นต้องมีความสมดุลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ใช้ก๊าซ ถ่านหินน้อยลงกว่าเดิม แตกต่างจากก๊าซธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบและเชื้อเพลิงที่สำคัญของประเทศไทย 50% มาจากอ่าวไทยและส่วนที่เหลือก็มาจากพม่าและการนำเข้า LNG เพราะฉะนั้นก๊าซจึงถือว่าเป็น hydrocarbon เป็นพลังงานสะอาดแบบดั้งเดิม แต่ไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาไม่สามารถทำได้เหมือนต่างประเทศ เช่น นอร์เวย์ที่ทุกอย่าง renewable ได้ในระยะเวลาไม่จำกัด

“ปตท.อยากเป็นบริษัทที่ทำให้คนไทยภาคภูมิใจเนื่องจากเราเติบโตในระดับโลกหลาย ๆ ด้าน ซึ่งการที่จะเติบโตในระดับโลกก็ต้องทำธุรจกิที่มีความยั่งยืน มีกำไรกลับมาก็ถือว่าได้ช่วยประเทศไทย” ดร.คงกระพันกล่าว

ADVERTISMENT

ปรับพอร์ต-วางแผนกักเก็บคาร์บอน

ดร.คงกระพันกล่าวว่า การสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของ ปตท. ที่ต้องดำเนินธุรกิจเรื่องก๊าซ น้ำมันควบคู่กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อน ผ่านการการบูรณาการ sustainability เข้าสู่การทำธุรกิจและสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับธุรกิจขององค์กร ผ่าน 3 เรื่อง คือ หลัก C3 Approach ประกอบด้วย

1. climate-resilience business เป็นการทำธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปตท.ก็ได้ปรับพอร์ตธุรกิจ เช่น PTT ออกจากธุรกิจถ่านหินมาทำก๊าซธรรมชาติเพื่อลดคาร์บอน, PTTEP เน้นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมก็หันมาเลือกพลังงานที่เป็นก๊าซมากขึ้น และ GPSC เป็นธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า จะมีการใช้ Renewable และ decarbonize ให้บริษัทในกลุ่ม ปตท. อาจจะต้องใช้ก๊าซหรือใช้ไฮโดรเจนมากขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจเคมี เช่น GC, IRPC ก็เลือกไปทำผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่อตันน้อยลง

ADVERTISMENT

2. Carbon conscious business ธุรกิจที่ทำอยู่แล้วก็ต้องลดคาร์บอนโดยเอาพลังงานที่สะอาดขึ้นมาใช้ นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การทำ smart plant ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้พลังงาน ซึ่งจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปโดยปริยาย แต่ก็ต้องมีการลงทุนซึ่งก็ถือว่าคุ้มทุนเพราะการลดการใช้พลังงาน ลดคาร์บอนก็ทำให้รีเทิร์นของเราดีขึ้นด้วย

3. Coalition-co creation and collective efforts for all เรื่องการที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (net zero) ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ปล่อยคาร์บอนเลย แต่เราปล่อยเท่าไหร่ก็เก็บเท่านั้น (Carbon Capture) ปตท.ใช้เทคโนโลยีในการเก็บคาร์บอนจากอากาศในสภาพของเหลวซึ่งจะถูกส่งและกักเก็บที่หลุมธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่ง ปตท.ทำหน้าที่สร้าง infrastructure การเก็บและการลงไปใต้ดิน-ใต้ทะเลก็เป็นหน้าที่ของ ปตท.สผ. ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ สิ่งที่เป็นความท้าทายไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่จะต้อง unlocck regulation ร่วมกับภาครัฐด้วย

“เราไม่มีทางก้าวเข้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้ ถ้าไม่มีการกักเก็บคาร์บอน ซึ่ง ปตท.กำลังเอาเชื้อเพลิงที่ไม่มีคาร์บอนมาใช้ (ไฮโดรเจน) ซึ่งโมเลกุลไฮโดรเจนไม่มีคาร์บอน สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้” ดร.คงกระพันกล่าว