
“ราช กรุ๊ป” ทุ่มงบฯ 1 หมื่นล้านบาท เดินหน้าโครงการ pipline ให้สำเร็จตามเป้าหมาย ลุยขยายธุรกิจ GreenFields-Brownfields มากขึ้น พร้อมขยายโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน วางเป้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตจากพลังงานทดแทน 30% ปี’73 เผยสนใจลงทุนโรงไฟฟ้า SMR อยู่ระหว่างศึกษาระเบียบร่วมพาร์ตเนอร์
วันที่ 26 สิงหาคม 2567 นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้วางแนวการดำเนินธุรกิจ โดยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถการทำกำไรของสินทรัพย์ เน้นการลดต้นทุนการผลิตและการเงินของโรงไฟฟ้า ประกอบกับการนำดิจิทัลและ AI เข้ามาช่วยเสริมการบริหารโรงไฟฟ้า
รวมถึงการพัฒนาโครงการที่มีใน pipline ให้สำเร็จตามเป้าหมาย ตลอดจนมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึงร้อยละ 30 ในปี 2573 และร้อยละ 40 ในปี 2578 จากปัจจุบันอยู่ที่ 27.5%
วางงบฯลงทุนครึ่งปี’67 หมื่นล้าน
ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทวางงบฯลงทุนไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เป็นการพัฒนาโครงการที่มีใน pipeline ให้สำเร็จตามเป้าหมาย และหลังจากนี้จะเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ (Gas Turbine) รวมถึงพลังงานหมุนเวียนในประเทศต่าง ๆ ขณะที่รูปแบบการลงทุนจะเน้นลงทุนแบบ GreenFields และ Brownfields มากขึ้น
โดยจะพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนนีเซีย และไทย โดยประเทศไทยและอินโดนีเซียมีโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และก๊าซธรรมชาติ, สปป.ลาว มีศักยภาพที่จะลงทุนด้านพลังงานน้ำเพื่อส่งจำหน่ายให้กับประเทศไทย
ส่วนออสเตรเลียมีศักยภาพพัฒนาโครงการพลังงานลม แสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการประเภท Synchronous Condenser ที่ต่อยอดจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เริ่มศึกษาโมเดลการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารูปแบบใหม่ และเทคโนโลยีพลังงานอนาคต ที่สามารถต่อยอดจากสินทรัพย์และศักยภาพความสามารถของบริษัทที่มีอยู่แล้ว
ได้แก่ โครงการกรีนไฮโดรเจน ได้ร่วมกับ BIG พัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานทดแทนจากโครงการของบริษัท เพื่อจำหน่ายภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และการผลิตไฟฟ้าในอนาคต ระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบแบตเตอรี่
ขณะที่บริษัทย่อยในออสเตรเลียกำลังศึกษาโครงการขนาด 100 MW/200 MWh ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรงในประเทศไทย ซึ่งกำลังร่วมกับพันธมิตรศึกษาโครงการนำร่องในนิคมอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ บริษัทยังเริ่มศึกษาโมเดลการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS) การผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสีเขียว การซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนโดยตรง (DPPA) รวมถึงการผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
“เรามีความสนใจในการลงทุน SMR บริษัทพยายามศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับพันธมิตร ระยะแรกจะเน้นการศึกษาเทคโนโลยี กฎระเบียบ แลประเมินผลกระทบต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีความปลอดภัยหากมีการใช้งาน พร้อมกับทำให้เป็นยอมรับของประชาชน มอง site ไว้ที่ 120-150 เมกะวัตต์” นายนิทัศน์กล่าว
โครงการเดินเครื่องปี 2567
ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ในมือ จำนวน 15 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,773 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย 4 โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง ได้แก่
- โรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น โคราช กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 12.48 MW กำหนด COD ในปี’67 ความคืบหน้าในการก่อสร้าง 99.99%
- โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 12 MW กำหนด COD ใน ธ.ค. 67 ความคืบหน้าในการก่อสร้าง 63%
- โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง 1 ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 5.55 MW กำหนด COD ในปี’67 ความคืบหน้าในการก่อสร้าง 62%
- โครงการกักเก็บพลังงานระบบแบตเตอรี่ LG2 ออสเตรเลีย กำหนด COD ในปี’67
เดินเครื่องสำเร็จ H1/67
- โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 1 กำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 392.7 MW
- โรงไฟฟ้าไพตัน อินโดนีเซีย กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 742 MW
- โรงไฟฟ้าคาลาบังก้า ฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 36.36 MW
ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมทางการเงิน 6 เดือนแรก ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 22,351 ล้านบาท จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า 21,020 ล้านบาท และระบบสาธารณูปโภคอื่น ๆ 1,331 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,827 ล้านบาท ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8,415 ล้านบาท
ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุน 10,817.28 MW โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวม 7,842.61 เมกะวัตต์ (ร้อยละ 72.5) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,974.67 (ร้อยละ 27.5)
“ครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะเติบโตกว่าครึ่งแรก เนื่องจากทิศทางการลงทุนและสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น” นายนิทัศน์กล่าว