
เมื่อไม่นานมานี้ ในการแถลงแผนกลยุทธ์ใหม่ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD”
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนกลยุทธ์ในธุรกิจ Upstream and Power นั้น ปตท.จะเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับ Partner มีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (Overlapping Claims Area หรือ OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ซึ่งเป็นจังหวะใกล้เคียงกับการแสดงปาฐถาพิเศษ Vision for Thailand 2024 ของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในงาน Nation TV Dinner Talk ที่พารากอนฮอลล์ ซึ่งได้มีข้อแนะนำให้รัฐบาลใหม่ นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เร่งดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทย-กัมพูชา (OCA) เช่นกัน
โดยมองว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดน แต่เป็นเรื่องของการนำเอาทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ โดยแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันฝั่งละ 50% ในลักษณะเดียวกับที่มีการดำเนินการกับประเทศในพื้นที่ JDA ไทย-มาเลเซียมาแล้ว ทั้งยังเน้นย้ำว่า หากไม่เร่งดำเนินการในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า การนำน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่จะใช้ไม่ได้ ต้องทิ้งให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะในอนาคตคนจะรังเกียจพลังงานจากฟอสซิล และหันไปใช้พลังงานสีเขียวเพียงอย่างเดียว
ซึ่ง ดร.ทักษิณระบุอีกว่า เขาให้ทีมศึกษาแนวทางของประเทศนอร์เวย์ ที่มีการนำผลประโยชน์ที่ได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมในทะเลมาแบ่งปันให้กับประชาชนทั้งประเทศ ว่าไทยจะทำในแบบดังกล่าวได้หรือไม่ ในขณะที่ผลประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับก็คือพลังงานที่ผลิตได้จากพื้นที่ OCA นั้นจะมีราคาถูกลง หากไปถัวเฉลี่ยกับพลังงานที่ต้องนำเข้า ซึ่งมีราคาแพง ก็จะทำให้คนไทยได้ใช้ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซหุงต้มในราคาที่ถูกลง
ขณะที่ ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การดำเนินการเรื่อง OCA จะต้องรอให้กระบวนการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเรียบร้อย จากนั้นจะมีการตั้งคณะกรรมการไปเจรจาในลำดับต่อไป
ทั้งนี้ การเจรจาพื้นที่ OCA ไทย-กัมพูชานั้น นับว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมาจากการจัดตั้งของพรรคเพื่อไทย เริ่มไว้นับจากเมื่อวันที่ 28 กันยายน 566 อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา เดินทางเยือนกัมพูชา ซึ่งในครั้งนั้นฝ่ายกัมพูชาได้ยกปัญหา OCA ขึ้นมาหารือ หลังจากนั้น “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางเยือนไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ได้สานต่อความคืบหน้าในการเจรจาที่ได้เริ่มไว้อีกครั้ง
หากมองถึงศักยภาพของพื้นที่ OCA ขนาด 10,000 ตร.กม. นับได้ว่าจะเป็นแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติที่สำคัญของไทย จากปัจจุบันไทยพึ่งพา 4 แหล่ง คือ แหล่งที่ไทยผลิตเองในอ่าวไทย แหล่งมาเลเซีย แหล่งเมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลวนำเข้า (LNG) แต่ความเสี่ยงที่ในอนาคตแหล่งผลิตในอ่าวไทย ซึ่งมีลักษณะเป็นกระเปาะ ๆ ขนาดเล็กจะค่อย ๆ ทยอยหมดไป หรือดึงขึ้นมาใช้ได้ลดลง ทำให้ไทยจำเป็นต้องหาแหล่งสำรอง
ซึ่งการแก้ปม OCA จึงนับได้ว่าเป็นแหล่งที่มีความสำคัญที่จะช่วยเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เกิดปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์หลายประเทศทั่วโลก ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มขึ้น หากมีการพัฒนาก็จะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่มีมูลค่านับแสนล้านบาท
เรื่องนี้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มองข้ามชอตถึงแนวทางปัญหาทางด้านเขตแดนและทางเทคนิคอย่างไรเตรียมไว้แล้ว โดยเคยมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ หารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าจะทำอย่างไรได้ภายในกรอบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544 ที่มีอยู่
โดยมองถึงโอกาสในการจัดตั้งองค์กร หรือบริษัทร่วมทุน ที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าไปถือหุ้นและใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อนำทรัพยากรขึ้นมาใช้ก่อน และแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างก็มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเสียก่อน ดังนั้น คงต้องรอติดตามต่อไปว่า รัฐบาล “แพทองธาร” จะสานต่อเรื่อง OCA ได้ตามโรดแมปที่วางไว้หรือไม่