
หลังจาก พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2559 กระทรวงพาณิชย์ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้สามารถนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันธุรกิจได้ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันรวมเป็นเวลา 6 ปี เป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โดยที่ “สินทรัพย์” นั้นยังอยู่ในการครอบครองของเกษตรกร ยังไม่ต้องส่งมอบให้กับสถาบันทางการเงิน เช่นเดียวกับการจำนองอสังหาริมทรัพย์
ยอดขอหลักประกันไม่ฮอต
ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า ในช่วง 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงในปัจจุบัน มีผู้นำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาเป็นหลักประกันธุรกิจแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 67) 154,470 ต้น มูลค่ารวม 145,032,453.04 บาท โดยแบ่งเป็น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 23,000 ต้น วงเงิน 128 ล้านบาท ธ.ก.ส. 1,482 ต้น วงเงิน 10,738,561.12 บาท และกลุ่มพิโกไฟแนนซ์ 129,988 ต้น วงเงิน 6,293,891.92 บาท
ทั้งนี้ ในกลุ่มจังหวัดที่ผู้ประกอบธุรกิจ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป นำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อ 22 จังหวัด (แบ่งพื้นที่ตามคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ประกอบด้วย ภาคเหนือ (4 จังหวัด) พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (9 จังหวัด) ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร หนองบัวลำภู อุบลราชธานี ภาคตะวันออก (2 จังหวัด) ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ภาคตะวันตก (4 จังหวัด) ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และ ภาคใต้ (3 จังหวัด) ชุมพร พังงา พัทลุง
แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบันมีเพียง 4 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุทัยธานี เท่านั้นที่นำไม้ยืนต้นเข้ามาใช้หลักประกันขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
สำหรับการจดทะเบียน “ไม้ยืนต้น” หลักประกันทางธุรกิจในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) 2567 มีผู้ยื่นขอจดทะเบียน 301 ต้น ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ อุบลราชธานี หนองบัวลำพู และพัทลุง โดยมี ธ.ก.ส. เป็นผู้รับหลักประกันทางธุรกิจ จำนวนเงินค้ำประกัน 3,131,619 บาท
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมาหลายฝ่ายเข้าใจว่าการจดหลักประกันทางธุรกิจจะทำได้เฉพาะกับ ไม้ยืนต้น 58 ชนิดตามรายชื่อของกรมป่าไม้ คือ ไม้สัก พะยูง ชิงชัน กระซิก กระพี้เขาควาย สาธร แดง ประดู่ป่า ประดู่บ้าน มะค่าโมง มะค่าแต้ เคี่ยม เคี่ยมคะนอง เต็ง รัง พะยอม ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ตะเคียนชันตาแมว ไม้สกุลยาง (ไม่รวมยางพารา) สะเดา สะเดาเทียม ตะกู ยมหิน ยมหอม นางพญาเสือโคร่ง นนทรี สัตบรรณ ตีนเป็ดทะเล พฤกษ์ ปีบ ตะแบกนา เสลา อินทนิลน้ำ ตะแบกเลือด นากบุด
ไม้สกุลจำปี (จำปีสิรินธร จำปีป่า จำปีถิ่นไทย จำปีดง จำปีแขก จำปีเพชร) แคนา กัลปพฤกษ์ ราชพฤกษ์ สุพรรณิการ์ เหลืองปรีดียาธร มะหาด มะขามป้อม หว้า จามจุรี พลับพลา กันเกรา กะทังใบใหญ่ หลุมพอ กฤษณา ไม้หอม เทพทาโร ฝาง ไผ่ทุกชนิด ไม้สกุลมะม่วง ไม้สกุลทุเรียน และมะขามเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริง คือ สามารถขอใช้หลักประกันได้สำหรับไม้ยืนต้นทุกประเภท
เร่งกระตุ้นการใช้หลักประกัน
ด้วยจำนวนไม้ยืนต้นที่นำมาลงทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ และนำไม้ยืนต้นมาขอสินเชื่อกับสถาบันทางการเงินที่ยังมีจำนวนน้อย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงหลักประกันทางธุรกิจ โดยได้มีการนำคณะรวมไปถึง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อจัดอบรมและให้ความรู้กับเกษตรกรนำไม้ยืนต้นที่ปลูกในพื้นที่ตัวเองมาใช้เป็นหลักประกันธุรกิจ
“ไม้ยืนต้นทุกประเภทสามารถเข้าถึงหลักประกันทางธุรกิจได้ ไม่ได้จำกัดเพียง 58 ประเภทตามรายชื่อของกรมป่าไม้เท่านั้น ที่จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อได้ แต่วงเงินสินเชื่อจะได้หรือไม่เท่าไรนั้น เป็นตามข้อตกลงระหว่างผู้รับหลักประกัน (สถาบันการเงิน) กับผู้ให้หลักประกัน (เกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้น)”

ประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับ นอกจากไม้ยืนต้นจะขอหลักประกันทางธุรกิจได้แล้ว สำหรับไม้ที่ปลูกยังคงอยู่บนพื้นที่ของตนเอง เกษตรกรยังสามารถนำไม้ยืนต้นนั้นไปต่อยอดสร้างรายได้อื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น เป็นแหล่งผลิตคาร์บอนเครดิตเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้ซื้อไปเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามกลไกของตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจและสอดรับกับกระแสการดำเนินธุรกิจในอนาคต
ลักษณะไม้ยืนต้น
สำหรับไม้ยืนต้นที่จะนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วถึงปานกลาง รอบตัดฟันสั้น มูลค่าเนื้อไม้ต่ำ เช่น ยูคาลิปตัส สัตบรรณ กระถินเทพา กระถินณรงค์ ก็จะได้มูลค่าไม่มาก แต่ถ้าเติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มูลค่าเนื้อไม้สูง เช่น ประดู่ ยางนา กระบาก สะตอ มูลค่าก็จะสูงขึ้นตามมา และถ้าเป็นไม้ที่การเติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้สูง เช่น สัก พะยูง ชิงชัน จันทน์หอม มะค่าโมง พวกนี้จะได้มูลค่ามาก
ส่วนเงื่อนไขการเข้าร่วมใช้หลักประกัน เบื้องต้น กำหนดให้จะต้องเป็นต้นไม้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป มีลำต้นตรง 2 เมตร วัดเส้นรอบวงที่ความสูง 130 เซนติเมตรจากพื้นดิน และต้องมีขนาดเส้นรอบวงไม่ต่ำกว่า 3 เซนติเมตร
ธ.ก.ส.พร้อมให้สินเชื่อ
นายพัฒน์พงศ์ เนียมมีศรี ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ระบุว่า ทาง ธ.ก.ส.ได้ปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกรที่นำไม้ยืนต้นเข้ามาขอหลักประกันทางธุรกิจไปแล้ว 20 ล้านบาท ใน 8 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเกษตรกรที่มาขอสินเชื่อสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ทุกประเภท โดยจะพิจารณาคำนวณตามหลักเกณฑ์ ประเภทและโครงการสินเชื่อนั้น ๆ รวมไปถึงระยะเวลา สั้น-ยาว เช่น 10 ปี 15 ปี และดอกเบี้ย เป็นต้น ดังนั้นเกษตรกรสามารถนำไม้ยืนต้นเข้ามาขอสินเชื่อได้ทุกประเภท ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในแต่ละราย
เบื้องต้น การพิจารณาให้สินเชื่อจะให้ครึ่งหนึ่งของการประเมิน เช่น ประเมินอยู่ที่ 20,000 บาท เกษตรกรก็จะได้ 10,000 บาท และเราจะมีการประเมินตรวจสอบไม้ยืนต้นที่นำมาเป็นหลักประกันในทุก 3 ปี ว่าไม้ยืนต้นยังอยู่ดีหรือไม่ หากเกิดความเสียหาย หรือเสื่อมสภาพ ก็ให้นำต้นไม้มาทดแทน หรือผู้กู้ก็จะต้องชำระหนี้ตามที่มีการประกันไว้ ซึ่งการดำเนินก็เป็นไปตามขั้นตอน เงื่อนไขที่มีการทำหลักประกันตั้งแต่ต้นแล้ว
ปัจจุบันทางธนาคารยังไม่เกิดหนี้เสีย หรือยึดหลักประกัน จากไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ที่เกษตรกรเข้ามาขอสินเชื่อ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการนำไม้ยืนต้นนั้นไปจดทะเบียนหลักประกันธุรกิจที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อนำมาเป็นหลักประกันของสินเชื่อนอกจากการนำสินทรัพย์อื่น เช่น บ้านและที่ดิน เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธ.ก.ส.พร้อมที่จะพิจารณาช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเราให้ความสำคัญในการเข้าถึงและมีรายได้ของเกษตรกรอยู่แล้ว