ผู้ทรงคุณวุฒิสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เปิด 4 ปัจจัย “ป้องกันไม่ดีทำกรุงเทพท่วมเหมือนปี 54”

วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ระดมสมองผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ – ผู้เชี่ยวชาญ เกาะติดน้ำท่วม ปี 67 เปิด 4 ปัจจัยหลัก “น้ำเหนือไหลหลาก พายุเข้าและฝนตกหนักท้ายเขื่อน บวกน้ำทะเลหนุน” หากป้องกันไม่ดีอาจทำน้ำท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ เหมือนปี 54

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวภายในงานเสวนา “เกาะติดสถานการณ์ วิกฤติน้ำท่วม โอกาสและทางออก” ที่จัดโดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า โอกาสที่น้ำจะท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ เหมือนปี 2554 หรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ คือ

1.มวลน้ำจากภาคเหนือไหลลงมาซึ่งภาคเหนือมีเขื่อนเก็บกักน้ำอยู่ยกเว้นแม่น้ำยมหากฝนตกลงมามากและมวลน้ำมีมากไหลผ่านสถานีวัดน้ำC.13 ที่จังหวัดชัยนาทหากระบายน้ำออกจากเขื่อนเจ้าพระยาเฉลี่ย 2800 ถึง 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที่จะทำให้จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา มีน้ำท่วมมากขึ้นและหากมีการตรวจวัดที่สถานีสูบน้ำ C.29 ที่สถานีหน้าศูนย์ศิลปชีพบางไทรเกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาช่วงจังหวัดปทุมธานี นนทบุรีถึงกรุงเทพฯมีระดับสูงขึ้นเกิน 1 เมตรจากปกติ ส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งได้

2. ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีพายุเข้ามาอย่างน้อย 1-2 ลูกหรืออาจจจะมากกว่า ซึ่งหากฝนตกท้ายเชื่อนสิริกิติและภูมิพลมาก และตกแบบ ฝนตกหนักเฉพาะจุดอย่างต่อเนื่อง (Rain Bomb) เป็นเวลานานมีโอกาสทำให้น้ำไหลเข้าท่วมมากขึ้น

3. ในช่วงเดือนตุลาคมเป็นเดือนที่มีน้ำทะเลหนุน หากการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาลงสู่คลองต่างๆและอ่าวไทยไม่ได้มากจะทำให้น้ำท่วมนานขึ้น

ADVERTISMENT

4.การบริหารจัดการน้ำ การเตรียมตัวของเมืองในการขุดลอกคูคลอง การกั้นตลิ่งการระบายน้ำลงทะเลและการพร่องน้ำจากเขื่อนก่อนซึ่งจะต้องทำแต่เนิ่นๆก่อนน้ำเหนือหลากลงมา

ดังนั้นปัจจัยที่สำคัญ ที่น้ำจะท่วมถึงจังหวัดปทุมธานี นนทบุรีและกรุงเทพฯในเดือนกันยายนและตุลาคม ก็คือน้ำเหนือไหลหลาก ประกอบกับพายุเข้าและฝนตกหนักท้ายเขื่อน รวมถึงน้ำทะเลหนุน และการจัดการป้องกันน้ำท่วมไม่ดีไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ก็อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมได้

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระวังสถานการณ์สภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าเดือนตุลาคม – กันยายน จะมีพายุเข้ามจำนวน 2 ลูก

ขณะที่ยังมีฝนตกหนักบริเวณภาคเหนือ น้ำยังเอ่อล้นและยังไม่สามารถระบายได้ทันท่วงที หากในช่วงเดือนตุลาคม – กันยายน ร่องความกดอากาศต่ำเลื่อนลงมาบริเวณตรงกลางประกอบกับเกิดฝนตกหนักอาจจะส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมหนักได้

“ณ เวลานี้น้ำไม่ท่วมกรุงเทพแน่นอน เพราะเมื่อเทียบกับ ปี54 ที่มีพายุเข้า 5 ลูก แต่ในปีนี้ยังไม่มีพายุเข้า ขณะที่ภาพรวมปริมาณน้ำฝน ปี54 พื้นที่ 4 เขื่อนหลักยังสามารถรองรับน้ำได้ 4,647 ล้านลบ.เมตร แต่ ปีนี้ เขื่อนหลักสามารถรองรับน้ำได้ถึง 12,071 ล้าน ลบ.ม.” ดร.สนธิกล่าว

กทม. ป้องกันไม่ดีอาจน้ำท่วม
ดร.สนธิ กล่าวต่อไปว่า กรมอุตุนิยมเตือนประเทศไทยเข้าสู่ภาวะลานีญาในช่วงเดือน ก.ค.- ก.ย 67 ต่อเนื่องไปถึง ธ.ค. 67 ถึง ก.พ. 67 ทำให้ครึ่งปีหลังมีฝนตกหนักเพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดน้ำท่วมได้ ซึ่งกมีปัจจัยสำคัญ คือ

1.กรุงเทพมีท่อระบายน้ำในกทม.มีขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30-60 ชม. ส่วนขนาดใหญ่สุดประมาณ 80 ชม.เมื่อฝนตกลงมาในกรุงเทพเกินกว่า 60 มม./ชั่วโมง จะระบายไม่ทันมักจะเกิดน้ำท่วมขังหนัก หากฝนตกหนักเกิน100 มม.ต่อชั่วโมงจะเกิดน้ำท่วมขังรอการระบายอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป

2.หากมีน้ำเหนือไหลหลากลงมาปริมาณมากจะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯรับน้ำไม่พอจนเกิดน้ำท่วมจึงต้องสร้างกำแพงเขื่อนสูงริมแม่น้ำเจ้าพระยาพระยากั้นไว้เพื่อป้องกันน้ำที่ไหลหลากลงมาไปลงทะเลที่จ. สมุทรปราการ

3.เนื่องจากกรุงเทพฯมีภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีลักษณะเหมือนแอ่งรับน้ำการระ บายน้ำลงสู่แม่น้ำหรือทะเลจึงทำได้ค่อนข้างยากรวมทั้งระยะเวลาที่น้ำบนถนนเดินทางไปถึงอุโมงค์เพื่อระบายลงสู่คลองและแม่น้ำเจ้าพระยาใช้เวลานานมากเนื่องจากท่อระบายน้ำใต้ถนนมีขนาดเล็กเกินไป

4.นอกจากนี้ภายในท่อระบายน้ำยังมีขยะชนาดใหญ่และเศษไขมันจากน้ำทิ้งจากครัวเรือนอุดตันท่อระบายน้ำทำให้ท่อตื้นเขินด้วยขณะที่บริเวณลำคลองเต็มไปด้วยขยะ ซึ่งน้ำจากคลองถูกสูบไปลงอุโมง(มี8แห่ง)จะถูกขยะเหล่านี้ขัดขวางการไหลกว่าจะถึงอุโมงค์น้ำก็ท่วมจนเต็มถนน

”การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกทม.ทั้งๆที่ไม่มีน้ำทะเลหนุนและน้ำเหนือไหลหลากจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ว่ากทม.ต้องแก้ไข” ดร.สนธิกล่าว

ด้าน ดร.สุรเจตส์ บุญญาอรุณเนตร ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมแหล่งน้ำ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ฝนตกหนักมาตั้งแต่ปลายเดือนกรฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งตกหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำที่รอการระบาย (น้ำเก่า) รวมกันอยู่ที่ 5 จังหวัด คือ เชียงราย พะเยา ปราจีนบุรี สุโขทัย และนครพนม พื้นที่รวมกว่า 900,000 ไร่ มีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 700,000 คน

ซึ่ง จ.เชียงรายมีพื้นที่ได้รับผลกระทบสูงสุด ประมาณ 200,000 ไร่ และมีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 120,000 คน ซึ่งน้ำกองรวมกันอยู่ที่แม่น้ำกกและแม่น้ำอิง โดยเป็นลำน้ำที่ไหลไปขึ้นไปทางภาคเหนือ คาดว่ามวลน้ำก้อนนี้จะไม่ได้ไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพ

อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2567 ค่อนข้างแตกต่างกับช่วงน้ำท่วมหลักในปี 2554 ซึ่งฝนสะสมทั้งประเทศปีนี้ (ต้นปี – 26 ส.ค.) อยู่ที่ 847.00 มิลลิเมตร ขณะที่น้ำใหม่ที่กำลังจะเกิดในช่วงเดือนกันยายน 2567

คาดการณ์ว่าแนวฝนมีแนวโน้มเคลื่อนต่ำลงมาและมีพายุ 2-3 ลูกเคลื่อนต่ำลงมาเช่นกัน ส่งผลให้ยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลางตอนบน