
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
นับตั้งแต่รุ่นของคุณตาจนมาถึงปัจจุบัน หลังจากเรียนจบจากต่างประเทศ การก้าวเข้ามานั่งบริหารงานที่เป็นธุรกิจของครอบครัวที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก มันภาคภูมิใจที่เราได้มาสานต่อและกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่จะพาธุรกิจไปสู่ผู้นำอาเซียน บทสัมภาษณ์ของ “เอม นางสาวเปมิกา นครศรี” ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารแบรนด์ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) Generation ที่ 3 ที่ได้ให้ไว้กับ “ประชาชาติธุรกิจ”
รายได้สูงสุดในรอบ 60 ปี
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2507 บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นภายใต้การบริหารงานของ “นายสมพงศ์ นครศรี” ซึ่งเป็น Generation แรก ต่อมาปัจจุบันมี “นายพงศภัค นครศรี” พี่ชายเข้ามานั่งเป็นกรรมการบริหาร ซึ่งตนนั้นไปเรียนอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 9 ปี จนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมี จาก University of Southern California และกลับมาไทยตอนอายุ 24 ปี และเข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัวในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารแบรนด์ และ CEO ของ BCC Ventures
จากวันแรกจนถึงวันนี้ BCC มีอายุกว่า 60 ปี ถือเป็นบริษัทคนไทยรายแรกที่บุกเบิกและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า ตั้งแต่ยุคเปลี่ยนผ่านจากการใช้ไฟฟ้าแบบ 110 โวลต์ เป็น 220 โวลต์
ปัจจุบันมีอัตรากำลังการผลิตสายไฟฟ้า และสายเคเบิลชนิดตัวนำทองแดง 30,000 เมตริกตันต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด คือ สายไฟฟ้า สายไฟชนิดตัวนำทองแดง และตัวนำอะลูมิเนียม, สายคอนโทรลและสายสัญญาณ, สายทนไฟ เป็นสายไฟฟ้าที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษให้ตัวนำทองแดงสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องสักพักหนึ่งในช่วงเวลา 2-3 ชั่วโมง, สายอิเล็กทรอนิกส์และสายเคเบิล, สายโทรคมนาคม และสายสำหรับบ้านและอุปกรณ์มือถือ
ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท โดย BCC ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% สัดส่วนรายได้หลักของธุรกิจส่วนใหญ่มาจากการขายภายในประเทศ ซึ่งจะมีกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร 31% กลุ่มอุตสาหกรรม 26% กลุ่มไฟฟ้าและพลังงาน 23% และอื่น ๆ 19% โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา BCC มีรายได้จากการดำเนินงานถึง 12,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% (Double-digit Growth) เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ 11,400 ล้านบาท
นับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 60 ปี โดยมีตลาดหลักอยู่ในอาเซียนทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา ลูกค้าหลักก็ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจรีเทล ตลาดค้าส่ง และโครงการภายใต้การสนับสนุนของรัฐ
ส่งมอบโปรเจ็กต์ One Bangkok
งานส่วนใหญ่เราจะเป็นพวกโครงสร้างพื้นฐานพวกสาธารณูปโภคของประเทศ อย่างงานโครงการสายไฟฟ้าที่ใช้ในโครงข่ายของระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง โครงการที่เริ่มนำสายไฟฟ้าลงดิน สายส่งในระบบรถไฟฟ้า ให้บริการครอบคลุมถึง 7 กลุ่มการใช้งาน คือ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร เช่น โครงการของอิตาเลียนไทย แสนสิริ พฤกษา
4.ระบบขนส่งและคมนาคม เช่น BTS การท่าอากาศยานไทย ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ บี.กริม 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม เช่น ปตท. SCG ไทยออยล์ 6.พลังงานหมุนเวียน เช่น GUNKUL GULF และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ เช่น โตโยต้า ฮอนด้า ตอนนี้ถือว่าเรามีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล เช่น Dusit Central Park, สนามบินสุวรรณภูมิ และโครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) ที่เพิ่งส่งมอบโปรเจ็กต์และเปิดใช้บริการเมื่อเร็ว ๆ นี้
เล็ง ASEAN Power Grid
สำหรับทิศทางของธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลของประเทศไทย ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและมันส่งผลต่อโอกาสของไทยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เนื่องจากไทยมีความสัมพันธ์เชิง Geopolitics มีความเป็นกลาง ใกล้ชิดกับทั้งสหรัฐ และจีน และเราก็เข้าไปเป็นสมาชิกในสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand : UNGCT) ซึ่งเป็นเครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราจึงเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลเพียงรายเดียวในประเทศไทย
แน่นอนว่ามันยังช่วยสร้างแรงดึงดูดนักลงทุนให้กับประเทศไทยอีกด้วย เพราะประเทศไทยสามารถซัพพอร์ตงานโครงสร้างพื้นฐานได้
เช่น ก่อนหน้านี้เราได้ไปมีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์การเชื่อมต่อพลังงานสะอาด Hydropower ในน้ำที่หลวงพระบาง สปป.ลาว มูลค่า 1,000 ล้านบาท ผ่านการลงทุนเรื่องสายไฟให้กับโปรเจ็กต์ดังกล่าว ส่วนงานในอนาคตที่เราเล็งไว้ที่จะเป็นโปรเจ็กต์ถัดไป คือ โครงการ ASEAN Power Grid ซึ่งเป็น 1 ใน 7 แผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานปี 2559-2568 ซึ่งโปรเจ็กต์นี้เขาต้องการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนด้านพลังงานผ่านการซื้อขายไฟฟ้าภายในภูมิภาคอาเซียน เราสนใจและจะต้องเข้าไปแสวงหาโอกาสในการลงทุน
3 ปีขึ้นแท่นผู้นำอาเซียน
ตอนนี้เราเป็นผู้นำในไทยแล้ว แต่ยังไม่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้นำในอาเซียน เราก็ตั้งเป้าหมายไว้เหมือนกันว่าภายในระยะเวลา 3-5 ปี จะเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ โดยจะขยายสู่ตลาดภูมิภาค โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนซึ่งบริษัทมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันและกลายเป็นผู้นำด้านสายไฟฟ้าอันดับ 1 ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งเมียนมาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเพื่อนบ้านตั้งเป้าต้องมียอดขายเกิน 3,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี นอกจากนี้ยังตั้งเป้าที่จะเปิดตลาดใหม่ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และเม็กซิโก
และเพื่อให้เราก้าวขึ้นเป็นผู้นำอาเซียนให้ได้ตามแผนปี 2568 พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์กับตลาด และคำนึงถึงเรื่องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมสีเขียวด้วย สายไฟฟ้าของเราต้องรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทน ที่เราทำเพราะเราต้องส่งเสริม สนับสนุนการก้าวเข้าสู่พลังงานสะอาด ในโปรเจ็กต์ Renewable Energy ที่ง่ายที่สุดก็คงต้องเริ่มจากการตั้งเป้าให้องค์กรของเราเป็นองค์กร Net Zero ภายในปี 2045
เตรียมปิดดีลโครงการใหญ่
การลงทุนโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ในปี 2568 เราได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ HiTHIUM ของจีน ซึ่งเราและเขาตั้งเป้าหมายร่วมกันที่จะนำเสนอโซลูชั่นระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) แบบครบวงจรที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งในระดับโครงข่ายสาธารณูปโภคที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ในระดับเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมไปถึงที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังพร้อมลงทุนในโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ทั้งรัฐหรือเอกชน ตอนนี้มีหลายดีลที่อยู่ระหว่างการคุย ปี 2568 เราจะได้เห็นการปิดดีลหลายโปรเจ็กต์แน่นอน
สำหรับอุปสรรคของอุตสาหกรรมสายไฟและเคเบิลในปี 2568 ยังคงเป็นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมและวิธีป้องกันรับมือในเชิงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ คือมีการเทรดสัญญาซื้อขายทองแดงล่วงหน้า (Copper CFD) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสายไฟฟ้า ซึ่งเป็นการคุมความเสี่ยงให้กระทบน้อยที่สุด เพราะ 100% เราต้องนำเข้าหมดด้วยมันเป็นเกรดคุณภาพสูงส่วนใหญ่สั่งจากประเทศชิลี