คุมเข้มด่านค้าชายแดนปั่นป่วน โรงงานอะลูมิเนียม-มันขาดวัตถุดิบ

border
ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา

ค้าชายแดนปั่นป่วนหนัก หลังรัฐบาลไทยออกมาตรการจำกัดวัน-เวลาเข้าออกด่านตลอดแนวชายแดน ทำผู้ประกอบการรายย่อยปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะผักผลไม้ผ่านด่านไม่ได้ ด้านโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เข้าไปตั้งฝั่งเขมรเริ่มขาดวัตถุดิบ ขาดแรงงานจากความกลัวเกิดสงคราม หวั่นสินค้านำเข้าสำคัญ “มันสำปะหลัง-เศษอะลูมิเนียม”ขาดสต๊อก ถ้าปิดด่านถาวร เร่งหารือผู้ขายเตรียมขนส่งทางอื่น ขณะที่รัฐบาลตั้ง “ทีมไทยแลนด์” แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มูลค่า 174,530 ล้านบาท กำลังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ชายแดน อันเนื่องมาจากการ “อ้างสิทธิทับซ้อน” พื้นที่ 3 ปราสาท (ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาเมือนโต๊ด-ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) กับบริเวณ 12 ตารางกิโลเมตรของสามเหลี่ยมมรกต ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จนเกิดการปะทะกันขึ้นและมีการตรึงกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่ายตลอดแนวชายแดนตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี จนถึง จ.ตราด ตามมาด้วยมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนชายแดนไทย-กัมพูชา ในฝั่งไทยซึ่งในขณะนี้อยู่ในขั้นที่ 2 จำกัดวัน เวลา ในการเข้า-ออกจุดผ่านแดนจำนวน 18 แห่งใน 7 จังหวัด (7 มิถุนายน 2568) ขณะที่ฝั่งกัมพูชามีการตอบโต้ด้วยการสั่งห้ามรถขนสินค้าผักผลไม้ข้ามแดนเป็นบางจุด อาทิ ด่านบ้านแหลม-ผักกาด-หาดเล็ก ที่จันทบุรี/ตราด

ในขณะที่ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา เองได้โพสต์ข้อความพร้อมที่จะปิดด่านชายแดนทั้งหมด รวมถึงการสั่ง “ระงับ” สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดกัมพูชา เพื่อตอบโต้การจำกัดวัน เวลา ในการเข้า-ออกจุดผ่านแดนของฝ่ายไทย นำมาซึ่งความกังวลของผู้ประกอบการค้าชายแดน ซึ่งไม่รู้ว่าฝ่ายไทยจะสั่งยกระดับมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนขึ้นอีกหรือไม่ และฝ่ายกัมพูชาจะปิดด่านชายแดนตามที่ “ขู่” เอาไว้หรือเปล่า

ด่านอรัญประเทศโดนเต็ม ๆ

กรมการค้าต่างประเทศได้เผยแพร่การวิเคราะห์ผลกระทบของการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท เฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการค้ารวม 64,612 ล้านบาท เป็นการส่งออกสินค้าไทยมูลค่า 50,225 ล้านบาท และการนำเข้าสินค้ากัมพูชา มูลค่า 14,387 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการค้าผ่านแดนด้านกัมพูชา 4 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่า 2,458 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการค้าผ่านแดนจากเวียดนาม มูลค่า 1,387 ล้านบาท

สำหรับการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาจะผ่านด่านศุลกากรสำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ (สระแก้ว) มูลค่าการค้า 4 เดือนแรกของปีนี้ รวม 40,261 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.3% ของมูลค่าการค้ารวมทุกด่าน, ด่านศุลกากรคลองใหญ่ (ตราด) 10,782 ล้านบาท หรือ 16.7%, ด่านศุลกากรจันทบุรี (จันทบุรี) 9,998 ล้านบาท หรือ 15.5%, ด่านศุลกากรช่องจอม (สุรินทร์) 2,887 ล้านบาท หรือ 4.5% และด่านศุลกากรช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) 685 ล้านบาท หรือ 1.1% ส่วนพื้นที่ข้อพิพาทช่องบก มีจุดผ่อนปรนที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ จุดผ่อนปรนการค้าช่องอานม้า (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร ช่วงเดือน ต.ค. 67-พ.ค. 68 มีมูลค่าการส่งออกแค่ 291,160 บาท ดังนั้น หากมีการปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนจริง ด่านศุลกากรที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ “ด่านศุลกากรอรัญประเทศ” ที่มีมูลค่าการค้ารวมทุกด่าน คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าครึ่ง หรือ 62.3%

จากสถิติการนำเข้า-ส่งออกสินค้าสำคัญการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา (ม.ค.-เม.ย. 2568) สินค้าส่งออกสำคัญของไทย 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่จะเป็น สินค้าอุปโภค-บริโภคประเภทเครื่องดื่ม (นม-นมถั่วเหลือง-น้ำอัดลม/ไม่อัดลม-เครื่องดื่มชูกำลัง) รองลงมาเป็นส่วนประกอบรถยนต์/รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร คิดเป็นสัดส่วน 30% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด ส่วนการนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา อันดับหนึ่ง ได้แก่ มันสำปะหลังและเศษโลหะ คิดเป็นสัดส่วน 86% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด

“กรมการค้าต่างประเทศได้วิเคราะห์ผลกระทบ หากมีการปิดด่านศุลกากรชายแดนแบบถาวรระยะสั้น 0-3 เดือน ธุรกิจค้าชายแดนรายย่อยจะหยุดชะงักลงทันที การขนส่งสินค้า (โลจิสติกส์) จะต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางหรือเวลาเข้า-ออกด่านใหม่ เพื่อป้องกันสินค้าตกค้างหรือถูกตีกลับ ส่วนผลกระทบระยะกลาง (3-12 เดือน) ผู้ส่งออกไทยจะต้องหาตลาดหรือเส้นทางขนส่งสินค้าใหม่ การส่งออกอาจจะต้องเปลี่ยนไป สปป.ลาว ด้านผู้นำเข้าสินค้าจากกัมพูชาจะได้รับผลกระทบหนักในส่วนของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้วัตถุดิบจากกัมพูชา ได้แก่ มันสำปะหลัง ในปี 2567 มีมูลค่าการนำเข้าผ่านด่านชายแดน 8,062 ล้านบาท 
เฉพาะ 4 เดือนแรกของปีนี้ นำเข้า 5,874 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สินค้าเศษอะลูมิเนียม ปี 2567 มีมูลค่าการนำเข้า 6,457 ล้านบาท 4 เดือนแรก 2,777 ล้านบาท, ลวดและสายเคเบิลที่หุ้มฉนวน 3,572 ล้านบาท 4 เดือนแรก 1,101 ล้านบาท, หลอดและท่อทำด้วยเหล็ก 2,116 ล้านบาท 4 เดือนแรก 468 ล้านบาท, ผลิตภัณฑ์ทำจากอะลูมิเนียม 1,845 ล้านบาท 4 เดือบแรก 576 ล้านบาท และเสาทองแดง 1,543 ล้านบาท 4 เดือนแรก 214 ล้านบาท”

ADVERTISMENT

นำเข้า “มัน-อะลูมิเนียม” กระทบหนัก

รายงานข่าวจากผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลังภาคตะวันออกกล่าวว่า หากมีการปิดด่านศุลกากรชายแดนถาวรในส่วนของการนำเข้ามันสำปะหลังเพื่อเป็นวัตถุดิบจะกระทบทันที จากปัจจุบันที่มีการนำเข้าทั้งหัวมันสด เพื่อส่งโรงแป้งมัน กับการนำเข้ามันเส้นเพื่อส่งออกไปจีน สาเหตุที่ผู้ประกอบการมันเส้นกับโรงแป้งต้องพึ่งพามันสำปะหลังจากกัมพูชา เนื่องจากผลผลิตหัวมันสดในประเทศไม่เพียงพอและมีผลผลิตลดลงมาตั้งแต่ปี 2566/2567 มีหัวมันสดเพียง 22 ล้านตันเท่านั้น โดยราคารับซื้อมันสำปะหลังจากกัมพูชาจะ “ต่ำกว่า” ราคามันในไทยประมาณ 1 บาท (ค่าขนส่ง) หากปิดด่านไม่มีมันสำปะหลังเข้ามา กัมพูชาก็จะขายมันจำนวนนี้ให้กับเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง

ด้านนายอธิภัทร คูวินิชกูล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศษอะลูมิเนียมที่นำเข้าผ่านด่านชายแดนกัมพูชา ส่วนใหญ่จะนำมาเป็นวัตถุดิบเพื่อมาหลอมขึ้นรูปเป็นแผ่นชิ้นงาน ขณะนี้โรงงานผู้ประกอบการอะลูมิเนียมมีสต๊อกอยู่แค่ 2 เดือน ดังนั้นหากมีการปิดด่านชายแดนยาวนานเกินไปก็จะกระทบกับการผลิตสินค้าแน่ อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มผู้ประกอบการได้เตรียมแผนรับมือและทางออกไว้แล้ว ด้วยการ 1) นำเข้าเศษอะลูมิเนียมจากประเทศที่ไกลขึ้นอย่าง ไต้หวัน, ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ ซึ่งจะมีต้นทุนจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น 2) เจรจากับผู้ขายเศษอะลูมิเนียมกัมพูชาให้ขนส่งสินค้าทางเรือแทน แม้จะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่จะใช้เวลาในการขนส่งมากกว่า 1-2 สัปดาห์ ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องบริหารจัดการสต๊อกเศษอะลูมิเนียมให้ดี “เชื่อว่าตอนนี้ผู้ประกอบการอะลูมิเนียมกำลังเจรจากับคู่ค้าเพื่อเตรียมรับมือความไม่แน่นอนที่ด่านชายแดนที่อาจจะปิดด่านเมื่อไหร่ก็ได้” นายอธิภัทรกล่าว

นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา จากการติดตามมีอยู่ประมาณ 3-4 ราย ซึ่งมีโรงงานอยู่บริเวณใกล้ชายแดน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานถึงผลกระทบหรือข้อกังวลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ต้องติดตามสถานการณ์ไปก่อน “สมาคมจะมีการหารือในประเด็นกัมพูชา พร้อมทั้งแนวทางการช่วยเหลือว่าจะต้องมีการดำเนินการอย่างไรบ้างเร็ว ๆ นี้”

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ไทยมีการลงทุนในกัมพูชา รวม 3,785 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 122,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานในกัมพูชากว่า 60,000 ราย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนไทยในกัมพูชาและผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาอีกจำนวนมาก ซึ่งรวมถึง SMEs รายย่อยด้วย ส่วนกรณีหากเกิดการ “แบนสินค้าไทย” จะส่งผลกระทบทั้งตลาดผู้บริโภคกัมพูชาและผู้ประกอบการไทยเช่นเดียวกัน และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ของทั้ง 2 ฝ่าย และหากสถานการณ์บานปลายส่งผลกระทบจนต้องปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทย “เราเชื่อมั่นว่ารัฐบาลและทหารไทยจะบริหารความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาได้อย่างที่ดีที่สุด”

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก สสว.พบว่า มูลค่าการค้า SMEs ไทยส่งออกสินค้าไปกัมพูชา ปี 2567 มูลค่า 18,233 ล้านบาท (15% ของการส่งออกไทยไปกัมพูชา) แบ่งเป็น SMEs รายย่อย 946 ล้านบาท (5%) รายย่อม 5,776 ล้านบาท (32%) รายกลาง 11,510 ล้านบาท (63%) และปี 2568 (มกราคม-เมษายน) มูลค่า 5,017 ล้านบาท เป็นรายย่อย 405 ล้านบาท รายย่อม 1,705 ล้านบาท รายกลาง 2,906 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการค้า SMEs ไทยนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา ปี 2567 มูลค่า 7,225 ล้านบาท (19% ของการนำเข้าไทยจากกัมพูชา) แบ่งเป็น SMEs รายย่อย 2,892 ล้านบาท รายย่อม 2,043 ล้านบาท รายกลาง 2,290 ล้านบาท และปี 2568 (มกราคม-เมษายน) มูลค่า 4,772 ล้านบาท แบ่งเป็น SMEs รายย่อย 2,279 ล้านบาท รายย่อม 1,027 ล้านบาท รายกลาง 1,467 ล้านบาท

ถ้าปิดด่านช่องจอมเสียหาย 5,000 ล้าน

นายวิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า มาตรการตอบโต้ของฝั่งกัมพูชาสั่งห้ามนำเข้าผัก-ผลไม้บริเวณพื้นที่ด่านช่องจอม “ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก” เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภค-บริโภค เช่น น้ำดื่ม อาหารกระป๋อง ในปีที่ผ่านมามีตัวเลขส่งออกอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และนำเข้าประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่มีความกังวล หากกัมพูชามีมาตรการปิดด่าน เนื่องจากเป็นมาตรการที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง ชาวกัมพูชาต้องขาดแคลนสินค้า ขาดโอกาสที่เข้ามารักษาทางการแพทย์ แรงงานที่ข้ามมาฝั่งไทยไม่กล้ากลับประเทศเพราะไม่มีงานทำ

ด้านผู้ประกอบการคนไทยที่เข้าไปตั้งโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในประเทศกัมพูชากล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องการเปิด-ปิดด่านของทั้งฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชาที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายกันวันต่อวัน ทำให้บริหารเวลาในการนำเข้าและส่งออกสินค้าไม่ได้ จากปกติจะส่งออกไม้ปาร์ติเกิลบอร์ดจากประเทศไทย เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตตู้เสื้อผ้าส่งขายภายในประเทศกัมพูชา แต่เมื่อมีมาตรการคุมเข้มและปรับเวลาการเปิด-ปิดด่าน รวมถึงคำสั่งงดการส่งออกวัสดุก่อสร้าง ทำให้ได้รับผลกระทบ 100% เดิมมีรายได้จากการส่งออกขั้นต่ำ 100,000 บาทต่อวัน แต่ตอนนี้ถูกสั่งห้ามส่งออกแล้ว แต่ยังต้องแบกต้นทุนค่าจ้างแรงงาน (ที่โรงงานผลิต) เดือนละ 400,000 บาท ทั้งนี้ แรงงานชาวกัมพูชาบางส่วนก็ไม่กล้ามาทำงาน เพราะต่างกังวลว่าจะมีการทำสงครามกัน เนื่องจากโรงงานของตนอยู่ห่างจากด่านช่องจอมเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น

ส่วนนายรัฐธนินท์ เตชะไชยสิทธิ์ ประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ปัญหาจะไม่ยุติง่าย ๆ โดยตนเป็นห่วงว่าสถานการณ์จะลุกลามขึ้นเป็นสงคราม เพราะตอนนี้ที่จุดผ่อนปรนช่องอานม้า อ.น้ำยืน มีเจ้าหน้าที่ตรึงกำลัง 100% ขณะที่ผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกผลไม้กล่าวว่า ตอนนี้รายได้หายไปกว่า 70% ของทั้งหมด เพราะที่จุดผ่อนปรนช่องอานม้าเปิดให้ค้าขายผ่านแดนเพียงวันพฤหัสบดี เวลา 09.00-12.00 น. ซึ่งกระทบต่อการขนถ่ายสินค้า หากนำสินค้าไปมาก จะทำให้ขนถ่ายสินค้าไม่ทัน เช่น จากเคยส่งออกพริกแห้ง 1 ตันต่อวัน ตอนนี้เหลือเพียง 300 กก.ต่อวัน

นายรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า การค้าชะงักลง จำนวนคนที่สัญจรผ่านแดนลดลงมากกว่า 50% ผู้ประกอบการสนับสนุนมาตรการของกองทัพบก เพื่อเลี่ยงการเกิดสงคราม มีการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ โดยเลี่ยงการสต๊อกสินค้าแล้ว ส่วนการปิดอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร (ผามออีแดง) ในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ในช่วงไฮซีซั่นเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2568 ที่ปกติมีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 200,000 คนต่อปี โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนไทย ส่วนชาวยุโรปประมาณ 1,000 คนต่อปี

นางสาวพูลทรัพย์ เทพนคร ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ที่จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ได้รับผลกระทบจากมาตรการเปิด-ปิดด่านกว่า 80% เพราะการลดเวลาเปิด-ปิดด่านเหลือเพียง 3 วัน เป็นวันอังคาร, พุธ และพฤหัสบดี 09.00-12.00 น. ทำให้การขนสินค้าทำได้ยากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อการค้าในระยะยาว ็จากมาตรการปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน แม้จะมีผลกระทบเศรษฐกิจการค้าชายแดน แต่ผู้ประกอบการทุกคนต่างคำนึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก พร้อมสนับสนุนหากจะทำให้ความขัดแย้งนี้ยุติเร็วขึ้นิ นางสาวพูลทรัพย์กล่าว

นายกฯตั้งทีมไทยแลนด์

ด้านความเคลื่อนไหวฝ่ายรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องประชุมหารือถึงผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยมีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ “ทีมไทยแลนด์” โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นหัวหน้าทีม และได้ส่งข้อความถึงนายกฯกัมพูชา ให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชา (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ในระดับกองทัพของสองประเทศจะดำเนินการอย่างไรต่อ

โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะประธานศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวว่า เป้าหมายที่จะตั้งศูนย์นี้ขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนและบูรณาการงานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า พร้อมทั้งรับทราบและติดตามงานที่จะต้องใช้ระยะเวลา เช่น การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา หรือ JBC และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แต่ยืนยันว่าศูนย์ดังกล่าวไม่ควรอยู่นานเกิน 1 เดือน และจะพยายามทำให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว

ศูนย์ดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การปิดด่านบ้านแหลมและด่านผักกาด จังหวัดจันทบุรี ทำให้ไม่สามารถขนส่งผลไม้ไทยข้ามแดนไปได้ ซึ่งตนได้เสนอนายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้กระทรวงพาณิชย์รับซื้อผักผลไม้ทั้งหมด รวมถึงเชิญชวนภาคเอกชนมาช่วยซื้อ ซึ่งปัจจุบันนายภูมิธรรมได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว