ไฟเขียวเหมืองหิน 8 โครงการ ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ได้ มูลค่าแร่กว่า 169,000 ล้านบาท ย้ำปูนซีเมนต์ไม่ขาดตลาด

แฟ้มภาพ

นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ไปแล้วจำนวน 8 โครงการ ประกอบด้วยคำขอประทานบัตรและคำขอต่ออายุประทานบัตรจำนวน 34 แปลง คิดเป็นพื้นที่รวมประมาณ 14,121 ไร่ และคิดเป็นมูลค่าแร่ที่ทำเหมืองได้กว่า 169,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการเหมืองแร่ดังกล่าวประกอบด้วยโครงการเหมืองแร่ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เช่น โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตปูนซีเมนต์ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมกรรมเพื่อการก่อสร้าง และโครงการเหมืองแร่หินอ่อน เป็นต้น

​ทั้งนี้ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ให้กับโครงการเหมืองแร่แล้ว หน่วยงานรัฐเจ้าของพื้นที่ เช่น กรมป่าไม้ จะได้นำมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ และภายหลังได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่แล้ว ประกอบกับได้ดำเนินการต่าง ๆ ตามที่กำหนดใน พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 ครบถ้วนแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะได้นำเสนอคณะกรรมการแร่ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการอนุญาตประทานบัตรหรือต่ออายุประทานบัตรต่อไป ซึ่งจะทำให้มีหินปูนซีเมนต์ใช้ไม่ขาดและต่อเนื่อง

8 โครงการ ประกอบด้วย บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน), บริษัท ภูมิใจไทยซีเมนต์ จำกัด (มหาชน), บริษัท น่ำเฮงศิลา จำกัด, บริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน), บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน), บริษัท หินอ่อน จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา และบริษัท ศิลาอารี จำกัด


ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ ซึ่งโครงการเหมืองแร่ที่จะได้รับการเสนอจะต้องเป็นโครงการในพื้นที่เดิมที่เคยมีการทำเหมืองมาก่อน มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และมีความคุ้มค่าและเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น และการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ของโครงการเหมืองแร่ดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติผ่อนผันจากคณะรัฐมนตรีก่อน ​นับแต่ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560